31 สิงหาคม 2565

เส้นทางสู่หนังสือ Best Seller (ในต่างประเทศ) เค้าทำกันแบบนี้

เคยสงสัยมั้ยคะว่าทำไมนักเขียนดังๆ เค้าถึงรู้จักและเป็นเพื่อนกันหมด?? แล้วเค้ากลายมาเป็นเพื่อนกันเพราะเป็นนักเขียนชื่อดังเหมือนกัน หรือจริงๆ แล้วเพราะพวกเค้าเป็นพวกกันเลยกลายมาเป็นนักเขียนชื่อดังกันทั้งกลุ่มทั้งแก๊ง?? เรื่องมันเป็นแบบนี้ค่ะคุณ


เรื่องนี้ทาร่าได้ยินมาจาก Sophie Howard ในคลาส Kindle Publishing Income ค่ะ ซึ่งนางเล่าไว้ว่าข้อดีของการออกหนังสือ E-book คือเราทำครั้งเดียวแล้วก็ขายยาวๆ ไปเลย ไม่มีวันหมดอายุ ไม่มีต้นทุนอะไรเพิ่มอีกแล้ว เอาเวลาไปออกเล่มอื่นเพิ่ม และยิ่งเราออกเล่ม 2 3 4 5 เพิ่ม ใครที่ชอบผลงานเราเล่มไหนเค้าก็จะตามกลับมาอ่านเล่มเก่าๆ ของเราด้วย


ส่วนข้อเสียน่ะเหรอ?? การตลาดนี่แหละ สำหรับใครที่เป็นนักเขียนโนเนมก็จะขายได้น้อยและยากกว่าคนที่มีฐานแฟนอยู่แล้ว ส่วนวิธีที่เค้าใช้อยู่ก็คือ… ผนึกกำลังกับเพื่อนๆ นักเขียนที่อยู่ในสายงานเดียวกันค่ะ


ยกตัวอย่างเช่น ทาร่าทำนิยายแฟนตาซีซึ่งปีนึงออกได้ 1 เรื่องก็เก่งแล้ว แต่ระหว่างนั้นเราก็ต้องมีเพจ มีเฟสสาธารณะ แล้วก็มีการอัพเดทข่าวสารของนิยายตัวเองอยู่แล้ว ขอบคุณรีวิวบ้าง ขึ้นชั้นแนะนำที่เพจนั้นเพจนี้ มีหนังสือเสียงเพิ่ม ขายลิขสิทธิ์แปลเป็นภาษาต่างประเทศ หรือเดือนไหนขายดีๆ ก็ขอบคุณแฟนๆ ทุกคนที่ติดตามนิยายของทาร่าน้าาา… อ่อ แล้วก็อัพเดทผลงานเรื่องใหม่ไปเรื่อยๆ ประโยคไหนเด็ดๆ ประโยคไหนเป็นมีมก็เอามาลงเป็น snap shot ไปเรื่อยๆ ระหว่างที่เรื่องยังไม่จบ คืออัพเดทอะไรไปก็ได้เพื่อให้เพจ / สำนักพิมพ์ / นามปากกาของเรามีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

 

Credit : Pixabay


และสิ่งที่ Sophie Howard แนะนำเพิ่มก็คือ นอกจากจะโปรโมทผลงานของตัวเองแล้ว เรายังสามารถโปรโมทผลงานของเพื่อนได้ด้วย ช่วยๆ กันอวยยศ เชียร์หนังสือ ดันยอดขายให้หนังสือเพื่อนนี่แหละ โดยเฉพาะวันที่หนังสือออก!!


คุณอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ!! แล้วแบบนี้จะไม่ตีกันหรอ เดี๋ยวนักอ่านของเราก็ไปติดผลงานเพื่อนแทนสิ ?? คนจะอ่านงานเราน้อยลงมั้ย?? 


Sophie บอกว่าไม่ค่ะ เพราะในสายงานของนักเขียน ยังไงงานเราก็ช้ากว่านักอ่านอยู่แล้ว ทาร่าเคยเขียนเองเล่มนึง คนเขียนใช้เวลา 1 ปี คนอ่านใช้เวลา 3 ชั่วโมง ส่วนของเพื่อนทาร่าอีกคนเขียนนิยาย 30 เล่มใช้เวลา 3 ปี ทาร่าช่วยพิสูจน์อักษรใช้เวลา 1 ปี นักอ่านบางคนกวาดตาจบภายใน 1 เดือน และมันเป็นแบบนี้จริงๆ ค่ะ คนเป็นนักเขียนยังไงก็ไม่มีทางออกงานได้ทันนักอ่านอยู่แล้ว ทำไมเราไม่เชียร์ผลงานเพื่อนเราแทนล่ะ ???


Sophie เค้าใช้วิธีสร้างกลุ่มนักเขียนมาเลยค่ะ ในวันที่หนังสือใครซักคนเสร็จ เพื่อนๆ ทุกคนจะช่วยกันโปรโมทกันอย่างสุดพลัง ดันทุกช่องทาง เพื่อให้หนังสือเล่มนั้นได้ไปอยู่ใน best seller ของช่วงเวลานั้นๆ และ momentum ของหนังสือขายดีก็จะเริ่มขึ้น…. เมื่ออยู่ในชั้น best seller คนก็มีโอกาสเห็นมากขึ้น พอคนเห็นเยอะก็ซื้อเยอะ พอคนซื้อเยอะก็อยู่ใน best seller, recommended shelf ได้นานขึ้น… นักเขียนก็แคปหน้าจอไปโปรโมทหน้าเพจต่อได้อีก 


Credit : Pixabay


(แล้วพอเราติด best seller ที่เวบนึง เราสามารถแคปหน้าจอไปขอขึ้น หนังสือแนะนำ ที่เพจอื่นๆ แพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ด้วยนะ เรื่องนี้ Sophie ไม่ได้สอน แต่ทาร่าค้นพบด้วยตัวเอง 😁)


และในวันที่หนังสือของเราเสร็จ เพื่อนๆ ก็จะมาช่วยเราในแบบเดียวกันนี่แหละ!! ลองคิดดูนะคะว่าระหว่างที่หนังสือเรายังไม่เสร็จ ถ้ามีของเพื่อนเสร็จไป 10 เล่ม เราช่วยนักเขียนที่สนใจเรื่องเดียวกับเราโปรโมทไปแล้ว 10 คน และในวันที่เราออกหนังสือใหม่และมีเพื่อนๆ นักเขียนช่วยดันให้พร้อมกัน 10 คน ผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง??? แบบนี้มันจะไม่ขายดียกแก๊งยังไงไหว??


หูยยยยยยยยยยย… ทาร่าว่าวิธีนี้มันพาวเวอร์ฟูลมากๆ และเหมาะกับงานเขียนมากๆ ด้วย ทาร่าเองก็ทำงานเขียนอยู่ด้วย มีนิยายฟีลกู๊ด นิยายแฟนตาซี เรื่องเล่าแม่และเด็ก แล้วก็พัฒนาตัวเอง/ธุรกิจ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนอยากจะ collapse กัน (ทั้งคลิป ทั้งเขียน) ทักมาได้เลยนะคะ 


ยิ่งรวมกัน เรายิ่งโตไปด้วยกันค่ะ 


🤗🤗🤗🤗🤗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#โค้ชชิ่งด้วยNLPสะกดจิตบำบัดเส้นเวลาบำบัด


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


17 สิงหาคม 2565

คำเตือน ระหว่างทางสู่การเป็น "ตัวเอง" ทุกคนจะต้องเจอเรื่องนี้!!!

ช่วงนี้ทาร่าหันไปทางไหนก็ได้ยินคำว่า Authenticity บ่อยมากๆ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็ประมาณว่า ปลุกความเป็นตัวเองในตัวคุณ ที่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องง่าย แต่จริงๆ แล้วมันทำยากมากเลยนะ เพราะอะไรรู้มั้ยคะ??

เพราะเราเองก็ไม่ได้รู้จักตัวเองมาตั้งแต่เกิด และเราไม่สามารถนั่งสมาธิและตรัสรู้ความเป็นตัวเองได้ด้วยตัวเอง แต่กระบวนการที่เราจะค้นพบตัวเองได้นั้นมาจากการลองผิดลองถูกค่ะ 


ตอนเด็กๆ เราอาจจะอยากเป็นลูกที่น่ารักของพ่อแม่ เราพยายามทำทุกอย่างให้พ่อแม่หัวเราะ รัก และเอ็นดูเรา และเราก็คิดว่านั่นเป็นเรา


เมื่อเราโตขึ้นมาอีกหน่อย เราก็เริ่มอยากมีเพื่อน อยากมีสังคม เราพยายามทำในสิ่งอินเทรนด์ และเราก็คิดว่านี่ต่างหากที่เป็นเรา


เราอาจจะมีไอดอล นักร้อง นักแสดงที่เราชื่นชอบ เราเป็นติ่งใคร ลงเรือลำไหน เราก็อยากที่จะเป็นแบบบุคคลต้นแบบของเรา โดยที่เราก็คิดว่าเรากำลังเป็นตัวเองอยู่


ต่อมาเมื่อเรามีแฟน ความเป็นเราก็อาจจะเปลี่ยนไปอีก


ความเป็นเราจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามประสบการณ์ที่เราได้หยิบใส่ตัวเข้ามา มันเหมือนกับเสื้อผ้าชั้นใน ชั้นนอก เครื่องประทับ ต่างๆ ที่เราใส่เพิ่มมาเรื่อยๆ บนตัวของเรา และเราก็เรียกเราในเวอร์ชั่นนี้ว่า “ตัวเรา” และเราก็จะมีเพื่อน มีคนรอบข้าง มีสังคม มีสิ่งแวดล้อมที่เค้า Back Up ความเป็นเราในแบบนั้น


Credit : Pixabay


จนวันนึงที่เราค้นพบว่า นั่นไม่ใช่เราอ่ะ!! อันนี้เป็นความฝันของพ่อแม่ อันนี้เป็นนิสัยที่เคยเราเคยคิดว่าเจ๋ง อันนี้คือทัศนคติที่เราทำเพื่อประชดแฟนเก่า อันนี้คือนิสัยที่เราทำเพื่อเอาใจแฟนใหม่ ในขณะที่เราพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของโลกภายนอก มันก็ไม่ต่างอะไรกับการปฎิเสธตัวเองและด้อยค่าโลกภายในของเรา 


ในวันที่เราตัดสินใจที่จะเป็นตัวเองอย่างแท้จริง สิ่งนึงที่เราทุกคนจะต้องเข้าใจและเตรียมใจไว้ล่วงหน้า คือ ในระหว่างที่เราถอดหน้ากาก เครื่องประดับ เสื้อตัวนอก นิสัยอินเทรนด์ ทัศนคติบางอย่างที่ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ ออกนั้น จะมีสิ่งหนึ่งที่เราต้องสูญเสียไปด้วย นั่นก็คือ เพื่อน สังคม และคนรอบตัวบางคน (หรืออาจจะหลายๆ คน)


ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่ถูกดึงดูดเข้ามาในชีวิตเราจากสิ่งที่เราเป็น อยู่ คือ ในตอนนั้น เพราะฉะนั้นในวันที่เราตัดสินใจที่จะกลับมาเป็นตัวเอง แน่นอนว่าเราก็ต้องถอดความเป็น อยู่ คือ ที่ไม่ใช่เราออกไปด้วย รวมถึงเพื่อน สังคม และคนรอบตัวที่มาพร้อมกับนิสัย บุคลิค ทัศนคติแบบนั้นด้วย


อย่าแปลกใจถ้าวันนึงคนพวกนั้นจะบอกว่าเราเปลี่ยนไป… เราไม่เหมือนเดิม……. และเดินออกจากชีวิตของเราไป…………….. เพราะนี่เป็นเส้นทางปกติของการเข้าสู่โหมด Authentic อย่างแท้จริง!!!


Credit : Pixabay

ทาร่าได้ยินเรื่องนี้มาจากไลฟ์ของคุณปอนด์ ยาคอปเซ่น ตอนที่คุยกับครูส้ม ณัฐวรา หงษ์สุวรรณ ทาร่ารู้สึกว่ามันเจ๋งมากๆ เลยค่ะ มันเป็นคำเตือนที่จริงแท้แน่นอนและไม่ค่อยมีใครพูดถึงเท่าไหร่ เลยอยากเอามาแชร์กับเพื่อนๆ ด้วย

ถึงทุกคนที่กำลังตามหาความเป็นตัวเอง ตามหาความ Authenticity อยากเป็น Real me อยากมีความสวยงามในแบบของเราเอง เราต้องยอมรับและทำใจไว้ล่วงหน้าเลยว่าสถานการณ์แบบนี้จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ และมันไม่ได้เกิดขึ้น กับเราคนเดียว แต่มันเกิดขึ้นกับทุกคนที่พยายามกลับมาเป็นตัวเอง

กอดค่ะ


🤗🤗🤗🤗🤗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


ระวัง!! คนที่คุณคบด้วย

“เราอยากเป็นคนแบบไหน ให้เราพาตัวเอง ไปอยู่ในกลุ่มคนที่เป็นแบบนั้น” 


“เราเป็นค่าเฉลี่ยของคน 5 คนรอบตัวเรา”


Credit : Pixabay

นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนดังเค้าพูดกันขึ้นมาเอง แต่เรื่องนี้ถึงขั้นมีผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์มายืนยันด้วยนะคะ เป็นการทดลองทีนักวิจัยเชิญอาสาสมัครเข้ามาในห้อง ให้ดูบัตร 2 ใบตามรูปข้างล่าง และถามคำถามว่า


“เส้นที่ทางซ้ายมือ ขนาดเท่ากับ A B หรือ C ??”


คำตอบก็คือ C ถูกมั้ยคะ?? ซึ่งมันง่ายมากๆ คุณตอบได้ ทาร่าตอบได้ แม้แต่ลูกสาวทาร่า 2 ขวบก็ตอบได้


และอาสาสมัครก็ตอบถูกค่ะ


แต่… แต่…. แต่…… 


เมื่อนักวิจัยเพิ่มนักแสดงเข้าไปในห้องทดลอง โดยที่อาสาสมัครไม่รู้ (อาสาสมัครเข้าใจว่าเป็นอาสาสมัครเหมือนกัน) และให้นักแสดงตอบว่า A เพื่อดูปฎิกริยาของอาสาสมัครว่าจะเปลี่ยนไปยังไง และผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าสนใจมากๆ 


ถ้าอาสาสมัคร 1 คนต่อนักแสดง 1 คน (อัตรา 1:1) อาสาสมัครทุกคนจะยังยืนยันในคำตอบเดิม คือ C และคิดว่าตัวเองนั่งอยู่กับคนสายตาเอียงเท่านั้น (ฉันถูก คนอื่นผิด)


แต่เมื่อนักวิจัยเพิ่มจำนวนนักแสดงเข้าไปจาก 1:1 เป็น 1:2 และ 1:3 คำตอบของอาสาสมัครก็เริ่มเปลี่ยนไป บางคนก็เปลี่ยนคำตอบของตัวเอง กลายมาเป็น A เพื่อให้เหมือนกับคนอื่นๆ


และเมื่อจำนวนนักแสดงเพิ่มถึง 8 คน อาสาสมัครยังมีแค่ 1 คนเหมือนเดิม (อัตรา 1:8) เชื่อมั้ยคะว่า 75% ของอาสาสมัครเปลี่ยนคำตอบเป็น A และเชื่อจริงๆ ว่าเส้นที่อยู่ซ้ายมือขนาดเท่ากับ A บางคนถึงขนาดหัวเราะกับตัวเองและบอกว่า “A สิ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ฉันเห็นเป็น C ได้ยังไง”


เฮ้ย!!!! เส้นซ้ายมือมันจะเท่ากับ A ได้ยังไง เรื่องนี้คุณรู้ ทาร่ารู้ แม้แต่เด็ก 2 ขอบก็รู้ว่ามันเท่ากับ C สิ 


ผลการทดลองนี้เลยสรุปได้ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” ค่ะ เราเกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณในการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ผู้ชายออกไปล่าสัตว์เป็นกลุ่ม ผู้หญิงออกไปหาผลไม้เป็นกลุ่ม เด็กๆ ต้องได้รับการดูแลจากผู้ใหญ่ ในวันที่เราป่วยก็ต้องมีครอบครัว (หรือเพื่อน) ช่วยดูแล และในวันที่เราแก่จนไม่สามารถออกไปหาอาหารเองได้ เราก็ต้องการการคุ้มครองดูแลจากกลุ่มคนที่ยังแข็งแรง เราไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้!!! 


ความถูกต้องไม่ได้ทำให้มนุษย์อยู่รอด การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มต่างหากที่ทำให้เราอยู่รอดและมีวิวัฒนาการมาได้จนถึงทุกวันนี้!!! เราไม่ได้อยากเป็นคนถูกที่ต้องอยู่บนยอดเขาอันเหน็บหนาวอย่างเดียวดาย และเรายอมที่จะเป็นคำผิด ที่มีเพื่อนที่ผิดแบบเดียวกับเรา เข้าใจเรา และอยู่ที่ตีนเขาด้วยกันอย่างอบอุ่น!!!


เพราะฉะนั้นสิ่งแวดล้อมสำคัญกับเรามากกว่าที่คุณคิดค่ะ เราใกล้ชิดคนแบบไหน เราก็จะกลายเป็นคนแบบนั้นโดยไม่รู้ตัว และเราฝืนมันได้ยากมาก!! ลองดูสิแค่ 1:8 ในการทดลองสั้นๆ 75% ของอาสาสมัครยังเปลี่ยนคำตอบเลย แล้วถ้า 1:8 ทุกวันเป็นเวลานานๆ คุณว่าจะมีซักกี่คนที่จะไม่เปลี่ยน?? มันต้องน้อยกว่านี้อีกสิ คนรอบข้างเราทรงพลังจริงๆ มันสามารถทำให้เรามองผิดเป็นถูก มองถูกเป็นผิด เปลี่ยนเป้าหมาย และเปลี่ยนชีวิตของเราได้ด้วย


 Credit : Pixabay


สมมุติว่าถ้าเราอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ชอบกินหมูกระทะกับชานมไข่มุก แน่นอนว่าเราจะมองว่าหมูกะทะกับชานมไข่มุกเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเราอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ชอบกินผัก ผลไม้ อาหารเพื่อสุขภาพ เยอะๆ บ่อยๆ แน่นอนว่าเราก็จะถูกดึงดูดเข้าไปในกลุ่มเดียวกันโดยอัตโนมัต โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามเลย


“อยากเป็นคนแบบไหนก็พาตัวเองไปอยู่ในกลุ่มคนที่เป็นแบบนั้น” 


ตามนั้นนะคะ และพวกเราโชคดีมากๆ ที่เกิดมาในยุคที่ชีวิตครึ่งนึงอยู่ในมือถือนี่แหละ เราสามารถเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมของเราได้ง่ายมากๆ แค่กด follow กับ unfollow เท่านั้น ทั้งทาง Facebook, IG, Tiktok, Youtube, Blockdit, Twitter อยากเห็นคนแบบไหน อยากเห็นเรื่องไหนบ่อยๆ ก็เลือกเอาเลยค่ะ 


สำหรับใครที่ชอบศาสตร์พัฒนาตัวเองแบบองค์รวม โดยเน้นสมดุลในชีวิต ทั้งการเงิน การงาน ความรัก สุขภาพ สังคม จิตวิญญาณ ทั้งสายวิทย์ และสายมู ทาร่าก็ขอฝากเพจของ Tara Thow ไว้ด้วยนะคะ


อ้างอิง: หนังสือ Atomic Habits ของ James Clear (มีแปลไทย ชื่อ เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น) 


😎😎😎😎😎


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


16 สิงหาคม 2565

สรุปหนังสือ the Richest Man in Babylon โดยเด็ก 9 ขวบ

เรื่องบางเรื่องแม่ก็ไม่รู้จะรู้สอนลูกยังไง แต่หนังสือดีๆนี่มันสอนแทนเราได้จริงๆนะ

ใครอยากสอนลูกเรื่องการเงิน ขอป้ายยาเล่มนี้เลยค่ะ THE RICHEST MAN IN BABYLON เศรษฐีชี้ทางรวย (มีแปลภาษาไทย) เป็นหนังสือแนวเรื่องเล่าที่คลาสสิกมากๆ ตัวละครในหนังสือเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึงที่อยากร่ำรวย จึงได้ไปถามความลับจากผู้ชายที่มั่งคั่งที่สุดในเมืองบาบีลอน และชายคนนั้นก็ค่อยๆ สอนเขาจนกระทั่งเขากลายเป็นคนที่มั่งคั่งเหมือนกัน


เราให้ลูกชายอ่านเล่มนี้ตอน 9 ขวบ แล้วให้เค้าลองสรุปให้ฟัง เอ้ย!! มันได้ผลดีเกินคาดมาก และนี่คือสิ่งที่เด็ก 9 ขวบตกผลึกได้จากหนังสือเล่มนี้ค่ะ


Credit : Se-Ed


1) อยากรวยต้องใช้เงินแค่ 90%


ถ้าเราอยากรวยต้องใช้เงินที่หาได้แค่ 90% เท่านั้น และแบ่ง 10% ไว้เป็นเงินเก็บสำหรับต่อยอดเพื่อสร้างรายได้เพิ่มในอนาคต เช่น หากเราเก็บเงินได้มากพอ เราอาจจะเริ่มจากการซื้อเครื่องทำบะหมี่มาก่อน (ใช่จ้า ลูกเราชอบกินอาหารประเภทเส้นๆ มาก) หลังจากที่เราเอาบะหมี่ของเราไปขายและได้เงินมาแล้ว เราก็ใช้แค่ 90% และเก็บ 10% ไว้เพื่อลงทุนต่อ คราวนี้เราอาจจะซื้อเป็น ผงชูรส เครื่องปรุง ซอส เพิ่มเพื่อที่จะเอามาขายคู่กับบะหมี่ของเรา แล้วก็ต่อยอดไปเรื่อยๆ ด้วยสูตร 90-10 นี่แหละ


2) เก็บเงินไว้ในที่ปลอดภัย


ถ้าเราอยากรวย เราต้องเก็บเงินของเราไว้ในที่ปลอดภัย ต้องไม่เอาไปแอบซ่อนไว้ใต้ต้นไม้ ไม่ตั้งไว้ที่ๆ โจรสามารถเดาได้ง่ายๆ เราต้องไม่เล่นตามเกมของโจร


3) ให้ความสำคัญการกับซื้อของที่จำเป็นก่อน


เมื่อเรามีรายได้ เราต้องนำเงินไปใช้จ่ายกับสิ่งที่จำเป็นมากกว่าสิ่งของไร้สาระ สิ่งที่จำเป็น เช่น เสื้อผ้า อาหาร บ้าน ยา หรือบ้านแบบที่เราสามารถอยู่ได้ในช่วงเวลานั้นๆ จนวันที่เราเริ่มมีรายได้มากขึ้น เราถึงจะเริ่มขยับขยายไปซื้อสิ่งของไร้สาระได้ (บ้าง) หรือมีบ้านที่มันหรูหราใหญ่โตขึ้นได้ ที่สำคัญคือ เราต้องแยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งจำเป็น และอะไรคือสิ่งไม่จำเป็น 


Credit : Pixabay 

4) มีสติก่อนลงทุน


การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนลงทุน และเราต้องแยกแยะให้ออกว่าอะไรคือความจริง อะไรคือขายฝัน เช่น ถ้ามีคนมาชวนคุณให้ไปซื้อที่ดินบนดวงจันทร์ คุณก็จะต้องเอะใจแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก คุณต้องเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง และต้องดูคนให้ออก ดูว่าคนที่มาชักชวนเราเนี่ยะ เค้าดูน่าเชื่อถือมั้ย เค้าฉลาดรึเปล่า เราต้องลงทุนกับคนที่ฉลาดและน่าเชื่อถือเท่านั้น


5) อย่ามองงานเป็น “งาน” แต่จงมองงานเป็น “เพื่อน” 


เราต้องไม่มองงานเป็นศัตรู คู่แข่ง หรืออะไรที่เราไม่ชอบ แต่ต้องมองว่างานกับเราเป็นเพื่อนกัน แล้วเราจะสามารถทำงานได้ดีและมีความสุข เราต้องคิดว่างานเป็นเพื่อน งานช่วยให้เรามีเงิน ช่วยเหลือเราเวลาทุกข์ยาก ที่สำคัญงานช่วยให้เรารวย 


6) เงินคือเมล็ดพันธุ์ 


ให้เราปฏิบัติเงินเหมือนเป็นเมล็ดพันธ์ุที่เราต้องค่อยๆ ประคบประหงม และดูแลให้มันงอกเงย เราต้องนำเงินไปลงทุน และเฝ้ามองดูมันเติบโต อย่านำเงินที่หาได้ไปใช้จนหมด ถ้าทำแบบนั้นเราจะไม่มีเงินเหลือไว้ให้งอกเงยเลย 


7) อย่ากลัวที่จะลงทุน


การเก็บเงินไว้เฉยๆ นอกจากจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว มันยังทำให้เราเสียโอกาสในการลงทุนอีกด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องไม่กลัวที่จะนำเงินที่หาได้ไปต่อยอดเพื่อสร้างเครื่องผลิตเงินเพิ่ม แต่เราก็ต้องดูด้วยว่าสิ่งนั้นมันจะช่วยผลิตเงินให้เราจริงๆ (ไม่ได้เอาไปซื้อที่ดินบนดวงจันทร์ไว้เพื่อเก็งกำไรนะ แบบนั้นไม่ได้เรียกว่าการลงทุน แต่เรียกว่าการพนัน)

Credit : Pixabay 


8) ถ้ามีหนี้ต้องรีบใช้


ถ้าเรามีหนี้ ในตอนแรกมันมักจะดูเล็กน้อยเหมือนศัตรูตัวเล็กๆ แต่ถ้าเราไม่บริหารจัดการให้ดี หนี้ก้อนนี้จะกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ จนกลายเป็นศัตรูตัวใหญ่ขึ้นในภายหลัง เพราะฉะนั้นเราต้องจัดการศัตรูตั้งแต่ตอนที่มันยังเล็กๆ 


9) ทุกคนมีความเก่งในแบบของตัวเอง 


คุณอาจจะทำกับข้าวเก่ง คุณอาจเขียนหนังสือเก่ง คุณอาจขายของเก่ง คุณอาจตลก คุณอาจหน้าบึ้ง คุณอาจจะสอนคนอื่นเข้าใจ ทุกอย่างสามารถนำมาหาเงินและสร้างรายได้ให้คุณได้ทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมากๆ คุณอาจจะนั่งอ่านหนังสือทั้งวัน ทั้งคืน เพื่อหาข้อมูล แล้วเอามา เขียนหนังสืออีกเล่มนึง เป็นหนังสือรวบรวมทุกสิ่งอย่างจากหนังสือทุกเล่มที่คุณอ่านไป แบบนี้ก็สามารถนำไปขายได้และสร้างรายได้ให้คุณได้เหมือนกัน 


10) เราต้องยืนได้ด้วยขาของตัวเอง 


เราต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองให้ได้ สมมุติว่าเราลงทุนเปิดร้านอาหารกับเพื่อน ทำงานร่วมกันเป็นทีมจนรวย แต่ถ้าวันนึงเพื่อนเราถอนทุนคืน เราก็ต้องทำงานนี้ต่อเองได้ด้วย ไม่อย่างนั้นเราก็จะกลายเป็นคนจนทันที


11) คำแนะนำดีๆ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินแลกมาเสมอไป


คุณอาจจะคิดว่าทุกอย่างบนโลกนี้ต้องใช้เงินแลกมาเสมอ แต่นั่นไม่จริงเลย บนโลกนี้ยังมีสิ่งนึงที่ฟรี มันคือ คำแนะนำจากคนฉลาดนั่นเอง ถ้าเราอยากรู้ว่าคนรวยเขาทำยังไงถึงรวย เราก็แค่ต้องไปถามคนแบบนั้นและเรียนรู้จากเขา เริ่มจากคนที่รวยที่สุดในหมู่บ้านเราก็ได้ คำแนะนำแบบนี้ เราสามารถขอเค้าได้ฟรีๆ เลย


หูยยย… ได้ยินลูกสรุปมาแบบนี้แล้วเรายิ่งมั่นใจเลยว่า เรื่องบางเรื่อง แม่อย่าวเราก็ไม่สามารถสอนลูกได้ดีเท่ากับ “หนังสือ” ทัศนคติบางอย่าง เราเองยังคิดไม่ได้เลย ตอนฟังลูกสรุป เรายังพูดกับตัวเองในใจเลยว่า “เออจริง!!” “สุดยอด” แล้วก็ 


“แม่ต้องเอาไปปรับใช้บ้างแล้ว”



😎😎😎😎😎


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


เทคนิคง่ายๆ 4 ข้อจากเด็ก 10 ขวบ ที่ทำปุ๊บ เท่ปั๊บ มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

ไมเคิล สุดหล่อ ลุกชายแม่เอง เจ้าของบทความไวรัลที่เล่าถึงโรงเรียนที่ซิดนีย์ว่า “เด็กทุกคนเก่งหมด” วันนี้แม่มีอีกเรื่องของน้องที่พูดถึงเทคนิคคูลๆ ชิคๆ ง่ายๆ 4 ข้อ ที่ทำปุ๊บ เท่ปั๊บมาฝากด้วยค่ะ

เทคนิคข้อ 1 เวลาคุยกับใครต้องฟังเขาพูดให้จบประโยค


ทาร่าคิดว่าข้อนี้ผู้ใหญ่บางคนก็อาจจะลืมไป เวลาฟังอะไรแล้วความคิดมันแล่นแว้บเข้ามา บางทีเราก็อดใจไม่ไหว อยากที่จะมีส่วนร่วมด้วย.. แต่ค่ะแต่… ไมเคิลบอกว่าเวลาคุยกับใคร เราต้องฟังเค้าให้จบประโยคก่อน อย่าพูดแทรกขึ้นมา เพราะถ้าเราพูดแทรก เขาก็จะไม่อยากเป็นเพื่อนกับเรา แล้วคนที่เค้าเท่ๆ คูลๆ เนี่ยะ เค้าต้องมีเพื่อนค่ะ


เทคนิคข้อ 2 แสดงความสนใจกับทุกสิ่งที่เพื่อนของคุณนำเสนอ


เวลาที่เพื่อนเล่าเรื่องอะไรที่น่าสนใจ เราต้องแสดงความสนใจออกมาค่ะ ว้าว!!! แล้วเขาก็จะอยากคุยกับเราต่อ และถ้าเราไม่สนใจเรื่องที่เพื่อนเล่าล่ะ?? ก็แสดงออกว่าสนใจ ว้าว!!! อยู่ดี ทำแบบนี้เราก็จะเป็นที่รักของเพื่อนๆ ค่ะ (ว้าว!!)


Credit : Pixabay 

เทคนิคข้อ 3 คนเท่ต้องไม่บอกว่าตัวเองเท่


ถ้าคุณอยากเท่ คุณต้องห้ามบอกว่าตัวเองเท่ เพราะคนที่พูดว่าตัวเองเท่จะกลายเป็นคนไม่เท่ ไมเคิลบอกว่า คนที่เท่ๆ ต้องทำตัวเท่ โดยไม่พูดว่าเท่ เพื่อให้คนอื่นคิดเอาเองว่า เราเนี่ยะเป็นคนเท่ 


เทคนิคข้อ 4 คนเท่ต้องจ้องตาคู่สนทนา


ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ เวลาเรามองตาคู่สนทนาเขาจะรู้สึกว่าเราสนใจเขานะ เราฟังเรื่องของเขาอยู่นะ ถ้าคุณทำแบบนี้คนอื่นก็จะมองว่าคุณเป็นคนเท่


เป็นยังไงกันบ้างคะ เทคนิค 4 ข้อเท่ ๆ คูล ๆ ในสายตาของเด็กอายุ 10 ขวบ ทาร่าฟังแล้วก็แอบร้อง ว้าว!!  อยู่ในใจ มันเป็นเรื่องเรียบง่าย ไม่ซักซ้อน และคิดว่าผู้ใหญ่อย่างเราก็สามารถเอาไปปรับใช้ได้ค่ะ สำหรับใครที่อยากฟังคนเท่ๆ เล่าด้วยตัวเอง เชิญที่ลิงก์นี้เลยค่ะ รับประกันความเท่โดยแม่เอง 😆


https://www.youtube.com/watch?v=rL3k2vtZkJM&t=1s


😎😎😎😎😎


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow



อยากลืมแต่กลับจำแก้ปัญหานี้ได้ง่าย ๆ

ช่วงนี้ทาร่าชอบฟัง Podcast ของ Dr. Andrew Huberman Lab มากค่ะ เค้าเป็นนักวิทยาศาสตร์สมอง ทำงานอยู่ที่ Stanford School of Medicine และมาเล่าเรื่องวิทยาศาสตร์ที่มันยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจและนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ เรื่องที่ดร.แอนดรูวเล่าเกี่ยวกับสมองของเราในแง่มุมต่างๆ ตั้งแต่ พฤติกรรม ความคิด การเรียนรู้ การทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย การตื่น การหลับ การฝัน อารมณ์โกรธ เศร้า ไปจนถึงเรื่องระบบเผาผลาญ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ


มีเรื่องนึงที่ทาร่าชอบมากๆ คือ เรื่องการนอนค่ะ เพราะการนอนกินเวลาถึง 1 ใน 3 ของชีวิตคนเรา คุณหมอทุกคนบนโลกเลยย้ำนักย้ำหนาถึงการนอนหลับว่า เราควรนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายเราพักผ่อน ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ มี Growth Hormone ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตในเด็ก ช่วยเพิ่มความสูงและทำให้อวัยวะต่างๆ ขยายขนาดเพื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ 


และเรื่องที่ทาร่ารู้สึกว่าน่าสนใจมากๆ เกี่ยวกับการนอนหลับที่ได้ยินมาจาก Podcast ของ Huberman Lab คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของเราระหว่างที่เรานอนหลับค่ะ!!


Credit : Pixabay


ในขณะที่เราคิดว่าเราหลับอยู่นั้น จริงๆ แล้วสมองของเราไม่เคยหลับเลย แต่มันกลับกำลังทำงานในอีกหน้าที่นึงอยู่ต่างหาก ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับสมองตอนนอนของเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่เราหลับลึก กับช่วงที่เราหลับตื้น (ถ้าใครที่ใช้ fitbit หรือ apple watch ในการ track sleeping น่าจะพอนึกภาพออก) ซึ่งจริงๆ แล้วมันสำคัญเท่ากันทั้ง 2 ช่วง (แค่ทำหน้าที่ต่างกัน)


และหน้าที่อย่างนึงที่สำคัญมากๆ ของการหลับลึก คือ การลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกจากสมองของเราค่ะ 


เพื่อนๆ ลองนึกดูนะคะว่าวันนึงเรารับข้อมูลที่ไม่จำเป็นมากี่ร้อยเรื่อง เราจะเก็บทุกอย่างไว้กับเราก็ไม่ได้ ฉะนั้นเวลาที่เราหลับ สมองเราไม่ได้หลับด้วย แต่มันจะทำการจัดระเบียบข้อมูลที่เราได้รับมาทั้งวันเพื่อวิเคราะว่ามีบ้างที่ควรเก็บไว้ และอะไรที่ควรจะลบทิ้ง


แอนดรูวยังเล่าด้วยว่าจริงๆ แล้วการ “ฝันร้าย” นั้นเป็น “เรื่องดี” และมันก็เป็นการทำงานปกติอย่างนึงของสมองเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่เลวร้ายของเรา ถ้าเราลองสังเกตุดูว่าทุกครั้งที่เราฝันร้าย มันมักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งหนีหรือต่อสู้ ซึ่งหากมีการปลุกขึ้นมานักวิทยาศาสตร์สามารถสรุปได้ว่ามนุษย์เราจะฝันร้ายเพื่อปลดปล่อยอารมณ์และลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นในช่วงหลับลึก และเกิดขึ้นพร้อมๆ กับสิ่งที่เรียกว่า REM (Rapid Eyes Movement) 


Credit : Huberman Lab


แล้ว REM หรือ Raid Eyes Movement นี่มันคืออะไร?? 


มันคือการเคลื่อนที่ไปมาของลูกตาในขณะที่เปลือกตาปิดอยู่ ถ้าเราลองสังเกตุเวลาคนใกล้ตัวหลับ เราจะเห็นว่าทกุๆ 90 นาที (โดยประมาณ) เปลือกตาของเค้าจะมีการสั่นเบาๆ (ซึ่งหากปลุกขึ้นมา ก็มักจะบอกว่ากำลังฝันอยู่)


นอกจากนี้งานวิจัยายังบอกอีกว่า REM sleep นี่แหละเกี่ยวข้องโดยตรงกับการลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกไป และได้มีการพัฒนามากลายเป็นเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อนำมารักษาคนไข้ที่มีอารมณ์ติดค้าง ไม่สามารถปลดปล่อยหรือลบทิ้งได้ด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น คนที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมากๆ ในชีวิต ทั้งอุบัติเหตุ อาชญากรรม โดนข่มขืน หรือการสูญเสียคนรัก/ ของรัก จนไม่สามารถทำใจได้


Credit : Pixabay


ทั้งๆ ที่ใจอยากลืม แต่สมองกลับจำ ช่างสวนทางกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้


สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทำเพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้ คือการจำลองการเคลื่อนไหวของลูกตาในขณะที่หลับ แต่ทำตอนตื่น (ในคลินิครักษา) ด้วยกระบวนการที่ชื่อว่า Eye Movement Desensitization and Reprocessing (EMDR) โดยวิธีการคือให้คนไข้พูด (หรือคิด) ถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น โดยมีนักบำบัดขยับมือไปมาเพื่อแกว่งสายตา หรือพูดง่ายๆ ก็คือการจำลองฝันร้ายขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่ได้หลับ แล้วก็จำลอง REM ขึ้นมาโดยที่ตายังเปิดอยู่นี่แหละ


(ตัวอย่างในคลิปข้างล่าง ช่วงนาทีที่ 20 ค่ะ)


และผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจมากๆ เพราะวิธีนี้สามารถช่วยคนไข้ให้ปลดปล่อย ปล่อยวาง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ 


ทาร่าว่าวิธีการรักษาแบบนี้มันน่าทึ่งมากๆ และมันง่ายมากๆ สำหรับใครที่มีเหตุการณ์ไม่ได้รุนแรงขนาดตัวอย่างที่ทาร่าเล่าไว้ ทาร่าคิดว่าเราน่าจะสามารถใช้วิธีการ EMDR เพื่อเยียวยาตัวเอง (หรือเพื่อน) ของเราได้ด้วย ลองดูนะคะ 🤗


สำหรับใครที่ชอบวิทยาศาสตร์สมองแบบง่ายๆ ทาร่าแระนำช่องของ Dr. Andrew Huberman Lab เลยค่ะ ฟังเพลินมาก ส่วนใครที่ชอบศาสตร์พัฒนาตัวเองแบบองค์รวม ทั้งเรื่องการเงิน การงาน ความรัก สุขภาพ สังคม ร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ก็ตามทาร่านี่แหละ เพราะทาร่าเองก็ชอบเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ถ้าเจออะไรน่าสนใจก็จะมาเล่าต่อแบบนี้ล่ะค่าาาาา


คลิปตัวอย่างการทำ EMDR https://www.youtube.com/watch?v=L6UvKhLYf7w


อ้างอิงเพิ่มเติม https://www.doctorraksa.com/th-TH/blog/posttraumatic-stress-disorder.html


😎😎😎😎😎


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow