11 กรกฎาคม 2565

ออสเตรเลีย: สอนเรื่องเงินเด็กๆ ยังไง

เรื่องเงินๆ ทองๆ นี่เป็นทักษะที่จำเป็นกับชีวิตเรามากๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้มีบรรจุไว้ในบทเรียน ไม่ได้เฉพาะที่เมืองไทยนะคะ ที่ออสเตรเลียก็เหมือนกันค่ะ เราไม่มีแบบเรียนการเงินอย่างเป็นทางการให้กับเด็กๆ (อย่างน้อยก็จนถึง ป.5 ที่ลูกชายทาร่าเรียนอยู่ - โรงเรียนเค้ายังไม่เคยสอนเรื่องนี้เลยค่ะ)


หรือถ้าจะมี ก็จะมีในรูปแบบ workshop เสริมที่พ่อแม่ต้องลงทะเบียนให้ลูกๆ เพิ่ม (แต่ก็มีไม่เยอะ) 


หรือไม่ก็เป็นรูปแบบอาสาสมัครของกลุ่มไหนซักกลุ่ม (แต่ก็มีไม่บ่อยเหมือนกันค่ะ)


Credit : 2GB

ก่อนที่ทาร่าจะมาทำโรงเรียนสอนภาษาไทยให้เด็กๆ ที่เกิดต่างประเทศ ทาร่าทำงานไฟแนนซ์ในส่วนของสินเชื่อมาก่อนค่ะ ทุกคนที่ทำงานด้านนี้จะต้องเป็นสมาชิกของหน่วยงานที่ชื่อว่า MFAA (Mortgage & Finance Association of Australia) ทาร่าเลยมีโอกาสได้ไปทำงานอาสาสมัครให้ความรู้ทางการเงินกับเด็กๆ ที่นี่ด้วย 1 ครั้ง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เลยค่ะ เพราะก่อนที่เราจะไปให้ความรู้เด็กๆ ได้ เราก็ต้องไปอบรมเรื่องที่จะสอนจาก MFAA ก่อน


และสิ่งที่ MFAA กำหนดให้พวกเราชาวไฟแนนซ์ไปแบ่งปันกับน้องๆ ชั้นประถม-มัธยมทั่วออสเตรเลีย มีอยู่ 3 ประเด็นหลักๆ คือ


1. เด็กๆ ต้องแยกให้ออกระหว่าง “สิ่งจำเป็น” กับ “สิ่งฟุ่มเฟือย”

เรื่องนี้สอนกันง่ายๆ พ่อแม่สามารถชวนเด็กๆ คุยได้ตั้งแต่เล็กๆ โดยไม่มีคำว่า “เงิน” เข้ามาเกี่ยวข้องเลยค่ะ แค่ลองชวนคุยและฝึกแยกแยะค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ตั้งแต่ กระเป๋า นาฬิกา ผลไม้ แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายส์ มือถือ เกมส์กด ลูกปิงปอง ลูกบอล ร่ม เสื้อกันหนาว ค่าน้ำ ค่าไฟ ฮอลิเดย์ รถ บ้าน ฯลฯ


Credit : Pixabay 


และสอนให้เด็กๆ เข้าใจว่า ‘สิ่งจำเป็น’ หรือ ‘สิ่งฟุ่มเฟือย’ ของเราอาจจะเหมือนหรือต่างจากคนอื่นก็ได้ เช่น มือถือเป็นสิ่งจำเป็นของพ่อแม่ แต่เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยของเด็กๆ และ ‘สิ่งจำเป็น’ หรือ ‘สิ่งฟุ่มเฟือย’ ของเด็กๆ ก็อาจจะเปลี่ยนไปตามเวลาได้ด้วยเหมือนกัน เช่น มือถือเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยของเด็กๆ ในตอนนี้ แต่ในอนาคตมันก็จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นได้เหมือนกัน


เมื่อเด็กๆ สามารถแยกแยะ ‘สิ่งจำเป็น’ กับ ‘สิ่งฟุ่มเฟือย’ ได้ด้วยตัวเองแล้ว ในอนาคตเค้าก็จะมีความยับยั้งชั่งใจ เมื่อต้องตัดสินที่จะต้องใช้จ่ายเงินออกไปค่ะ


2. สอนเด็กๆ ให้เข้าใจเรื่องการวางแผนทางการเงินล่วงหน้า 


เพราะบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแต่ของชิ้นเล็กๆ เช่น ขนม 5 บาท 10 บาท หรือของเล่นชิ้นละ 500 บาท แต่เด็กๆ ต้องเข้าใจว่า ของบางอย่างมันก็ชิ้นใหญ่เกินกว่าที่จะซื้อได้ทันที เช่น บ้าน รถ คอมพิวเตอร์ หรือ ฮอลิเดย์ต่างประเทศ ไม่ได้มีแต่เด็กๆ เท่านั้นที่ไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ (เพราะพ่อแม่ไม่อนุญาต) แต่พ่อแม่เองก็ไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ในทันทีเหมือนกัน (เพราะข้อจำกัดทางการเงิน)


ผู้ใหญ่บางคนก็เก็บเงินตั้ง 10 ปีเพื่อที่จะดาวน์บ้านได้หนึ่งหลัง และยังต้องผ่อนต่ออีก 30 ปี ถึงจะจ่ายหนี้ธนาคารหมด และ “การออมเงินเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า” ก็เป็นทักษะทางการเงินที่สำคัญมากๆ อย่างนึง ที่พ่อแม่ควรจะอธิบายให้เด็กๆ ได้เข้าใจ และเป็นทักษะที่เด็กๆ สามารถฝึกได้ตั้งแต่เล็กๆ เลยค่ะ เช่น อยากได้ของเล่นชิ้นละ 5,000 บาทเหรอ?? งั้นก็ต้องอดออมโดยการไม่ซื้อของเล่นชิ้นละ 250 บาท จำนวน 20 ชิ้น สมการมันก็ง่ายๆ แค่นี้เอง


Credit : Pixabay 


ยิ่งเป้าหมายของเราใหญ่แค่ไหน เรายิ่งต้องใช้เวลาในการรอคอยนานขึ้นเท่านั้น… และความจริงนี้จะอยู่กับเด็กๆ ไปตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตเลยค่ะ


คุณพ่อคุณแม่เองก็สามารถแชร์สถานการณ์ทางการเงินในบ้านให้เด็กๆ ได้รับรู้ได้ และถือโอกาสสอนเค้าไปพร้อมๆ กันว่า… เราไม่สามารถซื้อทุกอย่างที่เราอยากได้ในตอนนี้ได้ แต่หากเราวางแผนการเงินไว้ดีๆ เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง เราเองก็สามารถซื้อได้ทุกอย่างที่เราอยากได้ ไม่ได้น้อยไปกว่าคนอื่นเลย (เราสามารถซื้อได้ทุกอย่าง แต่เราจะซื้อทุกอย่างไม่ได้!!! เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกในสิ่งที่เราต้องการจริงๆ วางแผน และทำตามอย่างมีวินัยค่ะ)


3. รักษาเครดิตของเราไว้ให้ดี 


ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อทุกอย่างในชีวิตได้ทันที และต้องมีการอดออมในช่วงเวลานึงเพื่อที่จะซื้อสิ่งจำเป็น (หรือสิ่งฟุ่มเฟือย) ได้ แต่โลกใบนี้ก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น เพราะหากเราเป็นคนมีเครดิต บางครั้งเราก็สามารถที่จะหยิบยืมเงินในอนาคตมาใช้ก่อนได้ เช่น แทนที่เราจะต้องเก็บเงิน 30 ปีเพื่อที่จะซื้อบ้านได้ด้วยเงินสด แต่ถ้าเราเป็นคนมีเครดิต เราก็อาจจะซื้อได้เลยทันทีโดยยืมเงินจากแบ้งก์มาก่อน และทยอยจ่ายคืนแบ้งก์เป็นเวลา 30 ปีแทนก็ได้ (แต่ก็มีดอกเบี้ยเพิ่มเข้ามา)

แล้วทำยังไงเราถึงจะเป็นคนมีเครดิตที่ดีจนสามารถหยิบยืมเงินในอนาคตมาใช้ได้ล่ะ?? 


Credit : Pixabay 


เราก็ต้องเป็นคนรักษาคำพูดค่ะ ถ้าบอกว่าจะเล่นเกมอีกแค่ 10 นาที เด็กๆ ก็ต้องเล่นอีกแค่ 10 นาทีจริงๆ ถ้าเด็กๆ บอกว่าจะช่วยแม่ล้างจาน ก็ต้องช่วยจริงๆ ถ้าเด็กๆ ขอให้แม่ซื้อของเล่นชิ้นละ $50 ให้ก่อนแล้วจะทยอยผ่อนให้วันละ $5 เป็นเวลา 10 วัน เด็กๆ ก็ต้องทำให้ได้ตามที่ได้รับปากเอาไว้


คนที่รักษาคำพูดได้ดี เราเรียกว่า “คนมีเครดิต” และในอนาคตหากเด็กๆ อยากจะขอยืมเพิ่มเป็น $100 หรือ $200 พ่อแม่ก็ยินดีที่จะให้ยืมโดยที่ไม่ต้องคิดมาก และนี่ก็เป็นหลักการเดียวกันกับการพิจารณาสินเชื่อของแบ้งก์ในโลกของผู้ใหญ่นี่แหละค่ะ เค้าจะให้ยืมเฉพาะ “คนมีเครดิต” เท่านั้น!!!


นี่ก็เป็น 3 เรื่องสำคัญเกี่ยวกับการเงินที่โรงเรียนทั่วไปไม่ได้สอนไว้ แต่พ่อแม่สามารถสอนเด็กๆ เองได้ง่ายๆ และจะเป็นประโยชน์กับเด็กๆ ไปจนโตเลยค่ะ


💗💗💗💗💗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


บรรทัดแรก VS บรรทัดสุดท้าย ที่คนทำธุรกิจ SME ต้องรู้

สิ่งนึงที่คนทำธุรกิจขนาดเล็ก SME มักจะสับสนในการทำธุรกิจ คือ เรื่องของบรรทัดแรก กับ บรรทัดสุดท้ายค่ะ!!! 


ในงบการเงินบรรทัดแรก คือ ยอดขาย และบรรทัดต่อๆ มาคือรายจ่ายอันยาวเหยียด ที่หลังจากหักลบกับบรรทัดบนสุดแล้วก็กลายมาเป็นตัวเลขบรรทัดสุดท้าย ที่เรียกว่า กำไรสุทธิ


แน่นอนว่าธุรกิจจะมีกำไรจะต้องมียอดขาย แต่… แต่… แต่…. ธุรกิจที่มียอดขายอาจจะไม่ได้มีกำไรเสมอไป


“ร้านอาหารหรูหราในห้าง ที่ขายดิบ ขายดี พนักงานวิ่งกันจนขาขวิด ยอดขายมหาศาล แต่หลังหักค่าเช่า ค่าพนักงาน ค่าวัตถุดิบจิปาถะแล้วอาจจะเหลือกำไรน้อยกว่า แม่ค้าขายส่งลูกชิ้น ที่ใช้วัตถุดิบแค่หมู เนื้อ ไก่ แป้ง เกลือ พริกไทย ที่ใช้เครื่องปั่น ตี ต้ม อยู่ที่โรงงานเล็กๆ นอกเมืองก็ได้”


Credit : Pixabay


นี่เป็นบทเรียนทางธุรกิจที่สหายท่านนึงเคยแนะนำทาร่ามา


“คนทำธุรกิจเค้าไม่ได้วัดกันที่บรรทัดแรก แต่เค้าวัดกันที่บรรทัดสุดท้ายจ้าาาา”


เหมือนกับร้านขายไก่ย่างร้านดังแห่งนึงในเมืองที่ทาร่าอยู่ ที่ขายดิบ ขายดี สั่งไก่มาวันละหลายร้อยตัว ขายได้เป็นหมื่นเหรียญ แต่เจ้าของกลับเป็นหนี้เค้าไปทั่ว จ่ายบิลช้าอยู่บ่อยๆ ทั้งค่าเช่า ค่าของ ค่าแก๊ส เรียกว่าทำธุรกิจกับใครก็จ่ายช้าให้ครบทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน (ไม่ต้องมีใครน้อยใจใคร) ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าเจ้าของร้านเอาเงินธุรกิจไปปนกับเงินส่วนตัวอ่ะสิ เห็นเงินเข้ามาวันละหมื่นก็เลยเอาไปซื้อนั่นซื้อนี่ พอบิลมาก็เลยไม่มีจ่ายรึเปล่า


จนวันที่ร้านปิดกิจการไป ความจริงถึงได้เฉลยออกมาว่า… เจ๊งเพราะค่าบริการแอปส่งข้าวนี่แหละ (คล้ายๆ Grab ที่ไทย แต่ที่นี่มีหลายค่ายเลยค่ะ ทั้ง Ubereats, Doordash, Menulog) ที่หักเยอะเกิ๊นนน พอหักค่าของ ค่าคน ค่าแก๊ส ค่าไฟ ค่าขยะ อะไรๆ อีกสารพัดแล้วกลายเป็นว่า ยิ่งขาย ยิ่งขาดทุน สุดท้ายก็เลยปิดไป ทิ้งหนี้สูญไว้ให้ร้านไก่ ร้านผัก ร้านข้าว บริษัทแก๊ส ไฟ น้ำแข็ง อื่นๆ ยกเว้น (อี) แอปส่งข้าวนี่แหละจ้าาา เก็บเงินลูกค้าไว้ก่อน เหลือแล้วค่อยให้ร้าน เลยรอดไป


กับอีกตัวอย่างนึงที่ทาร่าได้ยินคุณเอเท็น อานนท์ Prince of Marketing เล่าไว้บ่อยมาก คือ เรื่องที่ตัวเค้าเองเคยขายของโดยเน้นปริมาณ ทั้งลด แลก แจก แถม ให้บริการอย่างดี ลูกค้าก็เข้ามาเยอะแยะ และยังแนะนำเพื่อนๆ ให้มาซื้อกับเค้าอีก (ไอนี่มันถูกมากกก!!! แถมบริการดีด้วย!!) เพื่อนๆ เค้าก็เลยมาใช้บริการกันใหญ่ ในราคาสุดประหยัด สุดท้ายเลยกลายเป็นทำงานเหนื่อยแทบตาย แต่พอหันมาดูรายได้แล้วเข่าแทบทรุด…. น้อยจนต้องถามตัวเองว่า ผมทำไรผิดเหรอ?? ทำไมพระเจ้าไม่เข้าข้างคนขยัน?? 


Credit : Pixabay


จนเค้ามาได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่ให้เลิกโฟกัสที่จำนวนของลูกค้าได้แล้ว แต่ให้หันมาโฟกัสที่คุณภาพของลูกค้าแทน!! ขึ้นราคาสิ!!! ที่ตอนแรกคุณเอเท็นเค้าก็ไม่เชื่อ ขนาดลูกค้าเยอะ ขายดีขนาดนี้ ยังไม่เห็นกำไรเลย แล้วถ้าขึ้นราคาลูกค้าก็จะน้อยลง กำไรก็ต้องน้อยลงด้วยสิ 


แต่เค้าก็คิดได้ว่าวิธีการเดิมมันไม่ได้ผล แล้วคนที่แนะนำมาเค้าก็เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เค้าก็คงต้องรู้อะไรแหละ ลองเชื่อดูก็ได้ 


แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เค้าขึ้นราคา คือ ลูกค้าหายไปก็จริง คนที่หายไปก็เป็นคนที่ตามหาของถูกและไม่ได้เห็นค่าในบริการของเค้าเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มนึงที่อยากได้บริการดีๆ คำแนะนำดีๆ และยินดีที่จะใช้บริการต่อในราคาที่แพงขึ้น และก็ยังแนะนำเพื่อนๆ แบบเดียวกันให้มาใช้บริการคุณเอเท็นสิ 


คุณเอเท็นเคยถามลูกค้าของเค้าว่า…. แต่ผมได้เงินเยอะขึ้น แล้วทำงานน้อยลงนะ คุณไม่ว่าอะไรเหรอ? 


และสิ่งที่ลูกค้าเค้าตอบมาก็ได้เปลี่ยนทัศนคติในการทำธุรกิจของเค้าจนไม่สามารถกลับไปคิดแบบเดิมได้อีกแล้ว “ได้เงินเยอะ ทำงานน้อย แบบนี้สิดี คุณจะได้ทำงานอย่างมีความสุข งานก็จะได้ออกมาดี แล้วคุณก็ยังมีเวลาไปพัฒนาตัวเอง หาความรู้เพิ่มเติม เพื่อเอามาให้บริการผมให้ดีขึ้นไปอีก”


“แล้วถ้าคุณเก่งขึ้นกว่านี้อีก ผมก็ยินดีที่จะจ่ายคุณเพิ่มอีก” ประโยคนี้จำไม่ได้ว่าคุณเอเท็นเล่าไว้ หรือทาร่าคิดต่อให้เค้าเองในใจ เพราะความรู้สึกตอนที่ฟังเรื่องนี้ ทาร่าคิดแบบนี้จริงๆ นะ 


ทั้่งสามเรื่องที่ทาร่าได้ยินมาจากสามคน สามเวลา… แต่มันก็ช่วยให้สติแล้วก็ข้อคิดในการทำธุรกิจด้วยค่ะ อย่าสับสนระหว่างบรรทัดแรกกับบรรทัดสุดท้าย!!! เราไม่ต้องขายดีมากก็ได้ ขอแค่ให้มีกำไรมากๆ ก็พอ


เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ ที่ทำธุรกิจ SME เหมือนกันทุกคนนะคะ ส่งใจให้รัวๆ เลยค่ะ


💗💗💗💗💗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


เรื่องของความมั่งคั่ง… ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง

ทุกคนอยากรวย.. ทุกคนพยายามทำงานหาเงิน ลงทุน และสะสมความมั่งคั่งให้กับตัวเองให้มากที่สุด ทาร่าเห็นโค้ช ครู กูรู ที่สอนเรื่องนี้กันเยอะแล้ว แต่มีเรื่องนึงที่ทาร่ายังไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่ คือ เรื่องของวงกลมบริหารความมั่งคั่งแบบองค์รวม (แปลมาจาก Wealth Management Completed Circle)


ทาร่าเรียนเรื่องนี้มาจากคอร์ส Financial Planning ซึ่งเป็นคอร์สที่ทาร่ารักมากๆๆๆๆๆ เป็นคอร์สที่ช่วยให้ทาร่ามองภาพรวมของการเงินและความมั่งคั่งได้แบบองค์รวม และอยากเอามาแชร์กับเพื่อนๆ ด้วย จริงๆ แล้วเรื่องของความมั่งคั่งมันมีด้วยกันทั้งหมด 3 ส่วน คือ


  1. Wealth Creation (การสร้างความมั่งคั่ง) ตามชื่อเลยจ้ะ ทำงาน เก็บเงิน ลงทุน เพื่อให้งอกเงย

  2. Wealth Protection ในขณะเดียวกันเราก็ต้องปกป้องความมั่งคั่งของเราด้วยค่ะ สิ่งที่จะทำให้เงินทองของเรารั่วไหลได้มากที่สุด ไม่ใช่การลงทุนแล้วเจ๊ง หรือทำธุรกิจแล้วล้มเหลว แต่คือ สุขภาพค่ะ!!! ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน หาเงินได้มากแค่ไหน แต่ถ้าวันนึงไม่สามารถทำงานได้.. มันไม่ใช่แค่รายได้ที่ขาดหายไปนะคะ แต่ยังมีรายจ่ายที่ออกไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย

    ทุกคนที่มีรถย่อมต้องมีประกัน ยิ่งรถแพง เรายิ่งอยากได้ประกันชั้นสูง เพราะอะไรคะ?? เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้วเราต้องจ่ายเองนี่มันสาหัสมากเลยนะ ยอมจ่ายทิ้งจ่ายขว้าง ซื้อความสบายใจไว้ดีกว่า แล้วชีวิตของเราไม่ยิ่งมีค่ามากกว่าอีกเหรอ?? มันเป็นเรื่องน่าแปลกมากเลยนะที่ทุกคนมีประกันรถ แต่หลายคนไม่มีประกันชีวิต ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วโอกาสที่อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นกับคนมีมากกว่ารถอีกนะ ยังไม่รวมโรคร้าย โรคทางจิตใจ (โรคเครียด โรคซึมเศร้า ฯลฯ) อีก ทำไว้เถอะค่ะ ประกันเป็นสิ่งที่ตอนซื้อก็ไม่อยากใช้ แต่ถึงคราวที่ต้องใช้นี่อยากซื้อก็ซื้อไม่ได้แล้วนะ

  3. Wealth Handover นี่ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ทาร่าไม่เคยได้ยินมาก่อน ได้ยินครั้งแรกในคอร์สนี้นี่แหละค่ะ ชอบมากๆๆ เลยอยากเอามาแบ่งปันกับเพื่อนๆ ด้วยค่ะ ไม่ว่าเราจะมั่งคั่งแค่ไหน เราอาจจะสร้างมาทั้งชีวิต ประกันความเสี่ยงไว้อย่างดี แต่ถึงเวลาที่เราไม่อยู่แล้ว…. ถ้าเราไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ มรดกของเราอาจจะถูกส่งต่อไปให้คนที่ไม่เหมาะสม จนดวงวิญญาณของเราต้องร้องไห้เลยก็ได้

    ทาร่าไม่แน่ใจว่าที่เมืองไทยเค้าแบ่งกันยังไง แต่ถ้าเป็นที่ออสเตรเลีย สามี-ภรรยานับเป็นบุคคลคนเดียวกันตามกฎหมาย ถ้าภรรยาตายปุ๊บ สามีได้สมบัติทั้งหมดเลยจ้าาา… ใครมีพ่อ มีแม่ ต้องเลี้ยงดู มีหลานต้องส่งเสีย นี่ลำบากทันทีเลยนะ เพราะคนเหล่านั้นจะหมดสิทธิ์ในสมบัติของเราในทันทีที่เราไม่อยู่… ยกเว้นว่าเราได้ทำพินัยกรรมแบ่งสมบัติบางส่วนให้พวกเค้า!!!


    Credit : Pixabay

    แม้แต่ลูกที่อายุเกิน 18 ปีก็ไม่มีสิทธิ์นะคะ เพราะถือว่าเป็นอีกหนึ่งบุคคล ไม่เหมือนสามี-ภรรยาที่กฎหมายนับเป็นคนเดียวกัน ถ้าคนนึงไม่อยู่ อีกคนก็รับไปทั้งหมด.. ส่วนลูกๆ ที่อายุเกิน 18 ปีไปแล้วจะได้เท่าไหร่นี่ขึ้นอยู่กับพ่อ กับแม่อีกคนที่เหลืออยู่จะแบ่งให้เลยนะ เหยย… ถ้าเจออีกฝ่ายแต่งงานใหม่ มีลูกใหม่ นี่ลูกเราแย่เลยนะ แต่ความดราม่าเหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยการทำพินัยกรรมไว้เลยว่าส่วนนี้เป็นของลูกเรานะ ส่วนที่เหลือเธอจะเอาไปเริ่มชีวิตใหม่กับใครก็เรื่องของเธอ

    ลูกอายุต่ำกว่า 18 ปีนับเป็นบุคคลในการดูแลและมีสิทธิ์ในสมบัติของพ่อแม่ ในแบบเดียวกับสามี-ภรรยาเลยค่ะ สมมุติว่าภรรยาเสียไป เหลือสามีกับลูกอายุต่ำกว่า 18 ปี แบบนี้ตามกฎหมายประเทศนี้จะกำหนดให้ 2 คนแบ่งกันตามกฎหมายของแต่ละรัฐ และลูกเรามีสิทธิ์ในสมบัติทั้งหมดทันทีในวันที่เค้าอายุ 18 ปีจ้าาา… จะหุ้นกี่ล้าน บ้านกี่หลัง เงินกี่เหรียญ ก็ช่าง แต่พออายุ 18 ปุ๊บ เธอมารับไปได้หมดเลยจ้าาา… ยกเว้นว่าพินัยกรรมจะระบุไว้อย่างละเอียดว่า อายุเท่าไหร่ มาเอาอะไรไปได้บ้าง ส่วนที่เหลือก็อยู่ในความดูแลของผู้จัดการมรดกจนกว่าจะถึงเวลา


เมื่อก่อนทาร่าก็คิดว่าพินัยกรรมเป็นเรื่องของคนรวย ต้องมีสมบัติเยอะๆ เค้าถึงทำพินัยกรรมกัน แต่หลังเรียนคอร์สนี้จบ ทาร่านัดทนายเลยค่ะ จะสมบัติเล็ก สมบัติน้อยก็ขอยกให้ลูกก่อนเลย.. สามียังหาแฟนใหม่ได้ แต่ลูกเรานี่มีแม่ทางสายเลือดแค่คนเดียวแน่ๆ กับอีกอย่างที่กลัวมากกก… กลัวเรื่องอายุ 18 นี่แหละ วัยกำลังห้าว กลัวว่าถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว เงินที่หามาทั้งชีวิตจะหมดไปภายในเวลาสั้นๆ หรือ (คิดว่า) รวยแล้วเกิดไม่อยากเรียนขึ้นมาอีก เรื่องมรดกพ่อแม่นี่ทาร่าว่ามันเป็นดาบสองคมนะ จะเยอะจะน้อย ทาร่าก็ขอระบุไว้ให้ชัดเจนดีกว่าค่ะ


หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างนะคะ 


💗💗💗💗💗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


กาแฟกำไรดี แล้วทำไมไม่ขายแต่กาแฟ??

เวลาทำธุรกิจสิ่งแรกที่เราคิดถึงคืออะไรคะ กำไรไง!! ถูกต้องนะฮ้าบบ (เสียงคุณปัญญา รายการแฟนพันธ์แท้ - ใครเกิดทันแปลว่าเรารุ่นเดียวกันค่ะ 😄) แต่นักธุรกิจบางคนก็อาจจะมีคำตอบที่ต่างออกไป อย่างเช่นเรื่องที่เพื่อนๆ ของทาร่าคุยกันในไลน์กลุ่มเมื่อเร็วๆ นี้


Credit : Pixabay

ในตอนที่พวกเราเมาท์มอย อัพเดทชีวิตกันและกันนี่แหละ อยู่ดีๆ ทาร่าก็เหมือนได้รับคำแนะนำเรื่องการทำธุรกิจมาจากสวรรค์ และอยากแบ่งปันเรื่องนี้กับเพื่อนๆ ด้วยค่ะ


เพื่อนคนที่ 1: เคยได้ยินว่า ขายกาแฟแล้ว มันกำไรดีมาก ต้นทุนไม่มีอะไรมาก แค่น้ำ เมล็ดกาแฟ นม แค่เนี้ย ต้นทุนน้อยมาก คนส่วนใหญ่นั่งกินบรรยากาศ ขายได้แก้วนึงตั้ง $6 (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 150 บาท) ทำไมยูจะต้องมาเสียเวลาอบขนม ทำอาหารคาว อาหารหวาน ให้มันเหนื่อย วัตถุดิบก็เยอะ อุปกรณ์ก็เยอะ ขั้นตอนก็เยอะ ไหนจะแรงงานตอนทำ แล้วไหนจะแรงงานตอนเก็บล้างอีก


กาแฟดีก็ขายแต่กาแฟสิ อะไรที่ไม่มีกำไรก็อย่าไปขายมัน!!


เพื่อนคนที่ 2: แกจะขายอะไร แกต้องคิดถึงลูกค้าเป็นหลักด้วยมั้ย!! ลองคิดตามดูนะ กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่กำไรดีที่สุดก็จริง แต่ถ้าเราเปิดร้านที่ขายแค่กาแฟ แล้วใครจะมาซื้อ?? หรือเค้ามาซื้อแหละ ปกติก็กินแต่กาแฟอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องนัดเพื่อน นัดลูกค้า นัดครอบครัว ใครเค้าจะอยากมาด้วย เค้าก็ต้องอยากไปร้านที่มีตัวเลือกเยอะๆ กันมั้ย


แต่ถ้าร้านเรามีอาหารคาว ของหวาน ขนม คุกกี้ มีอันนั้นอันนี้ เปลี่ยนไปตามฤดูกาลด้วย พวกของกระจุ๊กกระจิ๊กพวกนี้แหละที่จะช่วยเรียกลูกค้าเข้าร้านเรา บางเมนูขายไปไม่ได้อะไรเลย ทำก็ยาก ต้นทุนก็สูง แต่เจ้าเมนูพวกนี้แหละที่มันทำให้เราได้ขายกาแฟ เครื่องดื่มทำกำไรที่แกพูดถึง


สุดท้ายแล้วเราจะได้ขายกาแฟให้ทุกคนที่เข้ามาร้านอยู่ดี 


Credit : Pixabay

🍀 บทสนทนาสั้นๆ ทำให้ทาร่าคิดได้ว่า… บางครั้งการทำธุรกิจเราก็ต้องมองภาพรวมมากกว่ารายละเอียด บางบริการเราก็อาจจะต้องยอมเหนื่อยฟรีเพื่อดึงดูดลูกค้าเข้ามา และบางบริการเราก็อาจจะบวกกำไรได้มากหน่อย ถ้ามันเป็นราคามาตรฐานในตลาด 


(เอาจริงๆ เรื่องนี้ทำให้ทาร่าคิดได้ว่าในวงการรถยนต์เค้าก็ทำกันอย่างนี้แหละ ตอนจะขายรถก็ลดไปเยอะๆ ขายได้กำไรน้อยมาก และในขณะที่ลูกค้ากำลังดีใจตื่นเต้นที่ซื้อรถได้ถูกที่สุดจากทุกศูนย์ที่ไปถามมาเลย นักขายที่เก่งๆ เค้าก็จะเสนอขายอุปกรณ์เสริม ฟังค์ชั่นเสริม ติดเครื่องเสียง เปลี่ยนเบาะหนัง อัพเกรดล้อไปให้เลย และนั่นแหละ คือ กำไรเนื้อๆ เน้นๆ ที่พวกเค้าได้กัน)


สิ่งที่สำคัญไม่ใช่กำไรในทุกชิ้น แต่มันคือกำไรในภาพรวม โดยที่เรา (คนทำธุรกิจ) ต้องมองความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก 🌟


แล้วธุรกิจของเพื่อนๆ ล่ะคะ ตอนนี้โฟกัสที่อะไรอยู่?? กำไรต่อชิ้น ต่อบริการ หรือกำไรภาพรวม?? 


สำหรับใครที่สนใจธุรกิจออนไลน์ ทาร่ามีคอร์สมาแนะนำด้วยค่ะ เป็นคอร์สที่ทาร่าไปเรียนมาแล้วชอบมากๆ ใครสนใจ ทักมาหลังไมค์ได้นะคะ 🥰


💗💗💗💗💗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


มีด้วยเหรอ?? โรคกลัวความสำเร็จ 😮

จริงๆ มีหลายคนที่เป็นอยู่ด้วยนะ แต่ไม่รู้ตัว เหอ เหอ ชื่อภาษาอังกฤษของโรคนี้ คือ “tall puppy syndrome” ค่ะ 


ถ้าใครเคยเห็นทุ่งดอกป๊อปปี้ (ดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนทหารผ่านศึก) จะพบว่ามองออกไปจนสุดลูกหูลูกตา เราก็ไม่เจอดอกไหนที่เด่นกว่าดอกอื่นๆ เลยค่ะ ทุกดอกมันสูงเท่ากันหมดอย่างน่าประหลาดใจ 


ธรรมชาติของมนุษย์เราก็เป็นแบบนั้นแหละค่ะ เราเกิดมาเป็นสัตว์สังคม เราอยากเหมือนเพื่อน และเราอยากเป็นที่ยอมรับของคนรอบตัวเรา หลายคนก็เลยเลือกที่จะอยู่ที่ปลายเขาอันอบอุ่น แทนที่จะไปยืนเหน็บหนาวอยู่คนเดียวบนยอดเขาอันสูงชัน 


และไม่ใช่แค่ตัวเรานะคะที่อยากเหมือนเพื่อน แต่เพื่อนๆ เค้าก็อยากที่จะให้คุณเหมือนเค้าด้วยเหมือนกัน 


เมื่อไหร่ที่มีใครในกลุ่มโดดเด่นขึ้นมา (ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ) “กองแซะ” ก็มักจะเกิดมาพร้อมกันด้วยเสมอ คนกลุ่มนี้พยายามสรรหาคำต่างๆ นานาเพื่อมาฉุดรั้งความโดดเด่นนั้นไว้ เช่น หิวแสง วันนาบี (wanna be) อวดเหรอ ขี้โม้ 


Credit : Pixabay

และอาจจะตามมาด้วยเตือนยอดนิยมอย่างเข่น “ทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย” ที่จริงๆ แล้วมันก็อาจจะเป็นอย่างนั้นแหละ เมื่อตัวเราใหญ่ขึ้น ความสำเร็จใหญ่ขึ้น แน่นอนว่าปัญหาก็ต้องใหญ่ขึ้นตามไปด้วย 


หลายคนก็เลยเลือกที่จะทำตัวเล็กๆ ประสบความสำเร็จเล็กๆ แก้ปัญหาเล็กๆ ปิดบังศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ ไม่กล้าคิดใหญ่ ฝันใหญ่ ไม่ได้กลัวว่ามันจะล้มเหลวหรอกนะ แต่กลัวว่ามันจะสำเร็จต่างหาก!!!


โรคแปลกประหลาดขนาดนี้… แต่เชื่อมั้ยคะว่าคนเป็นกันเยอะมากกก (แต่อาจจะไม่รู้ตัว) ไม่ต้องมองไกลหรอก ทาร่าเองก็เคยเป็นค่ะ แล้วก็ไม่รู้ตัวด้วย จนกระทั่งได้ยินเรื่องนี้จากสัมนาสดของ โทนี่ รอบบินส์ และเค้าก็ได้ตะโกนออกมาว่า

“พวกเธอไม่ใช่ดอกป๊อปปี้!!! พวกเธอสามารถประสบความสำเร็จและโดดเด่นในแบบของพวกเธอด้ายยยยย !!! อย่าไปกลัวว่าคนรอบข้างเค้าจะไม่รัก ไม่สนับสนุนเธอ เพราะอะไรรู้มั้ย”


โทนี่ รอบบินส์ หยุดหายใจแป๊บนึงก่อนจะหัวเราะออกมา


“เพราะคนส่วนใหญ่เค้าก็ไม่ได้คิดอะไรกับพวกเธออยู่แล้ว!!!”


ถามจริงๆ เหอะ คุณคิดว่าพวกกองแซะกับเกรียนคีย์บอร์ดที่คอมเม้นต์ด่าคุณมา 1 หน้าเต็มๆ หลังจากนั้นเค้าทำอะไรคะ?? คุณเชื่อจริงๆ เหรอว่าเค้าจะใช้เวลา 24 ชั่วโมง 7 วันในการมาเกลียดชัง ก่นด่าคุณต่อไป?? NOOOOO!!!! เค้าด่าคุณเสร็จ เค้าก็ไปนอน ตื่นมาก็ไปทำงาน รับลูก ส่งลูก สอนการบ้าน กินข้าว ล้างจาน ซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน อาบน้ำ แปรงฟัน ว่างก็หยิบมือถือมาไถ แล้วก็ไปด่าคนอื่นต่อค่ะ


เรื่องมันก็มีแค่นี้เอง


ส่วนเราที่ได้อ่านคอมเม้นต์หยาบคายมาเหรอคะ?? กินไม่ได้ นอนไม่หลับ โลกถล่มทลาย คนด่าชั้น คนไม่ชอบชั้น คิดไปสารพัด บางคนก็ตามสืบว่ามันเป็นใคร กลับไปขุดคุ้ยประวัติเค้า ญาติ พี่น้องเค้าอี๊กกก.. หรือไม่ก็ส่งหมายเตือน เรียกให้มาลบบ้าง ฟ้องหมิ่นประมาทบ้าง เฮ้ยย!!! 


บางทีเราก็หลงตัวเองเกินไปจริงๆ นั่นแหละค่ะ 


เมื่อคิดถึงความจริงที่ว่าทุกคนเค้าก็บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ มีภาระที่ต้องดูแลกันทั้งนั้น เค้าไม่มาสนใจหรอกค่ะว่าชีวิตคนอื่นจะเป็นยังไง 


Credit : Pixabay



คุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่สำเร็จ หรือสำเร็จแค่ไหน มันไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้ชีวิตใครทั้งนั้น.. คนเดียวที่มันจะกระทบแน่ๆ และกระทบจริงๆ ก็มีแค่ตัวคุณ (กับคนที่คุณให้ความสำคัญด้วย) เท่านั้นแหละค่ะ เพราะฉะนั้นมา “กล้าที่จะสำเร็จ” ไปด้วยกันนะคะ


สำหรับใครที่เป็นป๊อปปี้ในทุ่งกว้างมานาน จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศักยภาพที่แท้จริงของเรามีแค่ไหน ทาร่าขอแนะนำเล่มนี้เลยค่ะ ดีมากกกก มาปลุกศักยภาพของพวกเราให้กลายเป็นภาพฝันและเปลี่ยนภาพนั้นให้เป็นจริงด้วยกันนะคะ พวกเราทำได้ค่ะ 😎✌️


“Power of Vision Board: เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ by Tara Thow”


แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl


E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0


E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj


💗💗💗💗💗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow