16 มกราคม 2565

มาลองด้วยกันค่ะ!! ลดความอ้วนด้วยการส่องกระจก 😁

เริ่มต้นเดือนแรกของปี 2022 เป็นยังไงกันบ้างคะ รู้สึกยังมีพลังเหมือนตอนวันปีใหม่ที่ผ่านมาไหมคะ เป้าหมายทางการงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ ความสุขในชีวิต ของคุณเป็นยังไงกันบ้าง?? วินัยยังมีอยู่มั้ย?? แล้วความฮึกเหิมล่ะ?? 


ภาพรวมของทาร่าถือว่ายังอยู่ในแดนบวกนะคะ จะมีก็เรื่อง “น้ำหนัก” นี่แหละที่เป็นปัญหาหนักอก หนักใจ หนักพุง มาเนิ่นนานนนน ไม่รู้เพราะตัวเองอยู่เมืองนอก เจอแต่อาหารเสิร์ฟใหญ่ๆ หรือความเป็นมนุษย์แม่ที่ชอบกินของเหลือต่อจากลูกชายคนโต บวกกับความเลือกกินของลูกสาวคนเล็ก แม่เลยต้องทำหลายๆ อย่างมาให้นางเลือก หรืออายุที่เพิ่มขึ้นมาทุกปีก็ไม่รู้ที่ทำให้มันช่างลดยากลดเย็นเสียเหลือเกิน 


ทาร่าลองมาหลายวิธีแล้วค่ะ และนี่ก็เป็นวิธีล่าสุดที่ได้ยินผ่านหูมานานแล้วค่ะ แต่ปีนี้ 2022 ทาร่าจะขุดมาใช้อีกที ใครที่กำลังมองหาทางลัด สูตรแปลกๆ ใหม่ๆ ในการลดน้ำหนัก มาลองทำไปพร้อมๆ กันเลยนะคะ 🥳🥳🥳





เทคนิค “การลดความอ้วนด้วยการส่องกระจก” เป็นเรื่องที่ทาร่าได้ยินมาจากหนังสือเสียงที่ชื่อว่า You can heal your life ของ Louise Hay (ชื่อภาษาไทย คือ ชีวิตนี้ ลิขิตได้ แปลโดย ธีรกร กิตติโสภากูร) ที่เธอได้แตะประเด็นการดูแลรูปร่างและร่างกายได้น่าสนใจมากค่ะ เธอบอกว่าอาการเจ็บป่วยต่างๆ ที่เรามีในร่างกายนั้นล้วนเกิดจากความอัดอั้นทางอารมณ์ (Emotional Blockage) ทั้งนั้น 


แปลไทยเป็นไทย คือ ทุกความรู้สึกล้วนแล้วแต่มีพลังงานซ่อนอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความอิจฉา ฯลฯ เคยสังเกตุมั้ยคะว่าถ้าเราดูซีรีย์เกาหลีที่ฟินจัดๆ แล้วไม่ได้จิกหมอน จิกผ้าห่ม ความรู้สึก “งุ้ยยยย” ของเราจะอัดอั้นอยู่ข้างในจนรู้สึกเหมือนหัวใจของเรากำลังจะระเบิดออกมา “ไม่ไหวแล้วแกร๊” คือประโยคคลาสสิคที่เราใช้เพื่อบรรยายความรู้สึกให้เพื่อนฟัง


แล้วเคยเป็นมั้ยคะที่จิกหมอนจนขาดไปแล้ว 2 ใบก็ยังไม่หาย “คลั่งรัก” เลย ถึงแม้ว่าร่างกายเราจะมูฟออนไปทำอย่างอื่นได้แล้ว แต่แค่เล่นเฟสแล้วเจอรูป “เค้า” เด้งขึ้นมา ก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นตรงหน้าอกซ้ายของเราก็กลับไปกลับเร็วเหมือนจะระเบิดออกมาอีกครั้ง……….. เหมือนหัวใจของเรามันยังจำความรู้สึกนั้นได้ ใช่ค่ะ ถ้ามันเป็นความรู้สึกที่รุนแรงขั้นสุด หัวใจของเราจะไม่มีวันลืม ‘พลังงาน’ ของความรู้สึกนั้นๆ จะยังติดค้างอยู่ตรงส่วนไหนซักส่วนนึงในร่างกายเรา (ตลอดไป)


ถ้ามันเป็นความรู้สึกดีๆ เป็นความรัก ความตื่นเต้น ดีใจ ภูมิใจ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรหรอกค่ะ 





แต่ถ้ามันเป็นความรู้สึกไม่ดี เช่น เกลียด โกรธ กลัว อิจฉา ริษยา แค้น หรือโลภล่ะ ?? Luise Hay ในหนังสือ You can heal your life บอกว่าความรู้สึกแบบนี้นี่แหละที่เป็น ‘สาเหตุที่แท้จริง’ ของความเจ็บป่วยทางร่างกายทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง หัวใจ สมอง หลัง ท้อง ตับ ไต ไส้ พุง รวมไปอาการเล็กๆ น้อยๆ อย่างหวัด คัน ผด ผื่น หากสัมภาษณ์กันดีๆ แล้วจะพบว่าผู้ป่วยทุกคนล้วนมีความอัดอั้นทางอารมณ์กันทั้งนั้น และอาการป่วยทางกายจะหายไปหลังจากที่เธอช่วยปลดปล่อยความอัดอั้นทางอารมณ์นั้นๆ แล้ว


หนังสือเล่มนี้เค้าจะมีลิสต์ให้ว่าโรคอะไรเกี่ยวข้องกับอารมณ์ไหนบ้าง ถ้าโกรธก็แยกให้ด้วยว่าโกรธพ่อจะป่วยแบบไหน โกรธแม่ป่วยแบบไหน โกรธแฟนป่วยแบบไหน โกรธตัวเองป่วยแบบไหน ป๊าดด!!! แยกให้ละเอียดยิบ เราจะได้รักษากันได้ถูกจุด


กลับมาเข้าประเด็น “น้ำหนักเกิน” กันบ้างค่ะ Louise Hay ก็แยกไว้ให้เหมือนกันค่ะว่า “ส่วนเกิน” ไหนมันเกี่ยวข้องกับอารมณ์ไหน คร่าวๆ คือ 


  • แขนใหญ่ มาจากความโกรธ เคียดแค้น อาฆาตกับความรักที่ผิดหวัง

  • ลงพุง เป็นความโกรธแค้นมาจากการที่เราไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่

  • ลงสะโพก มาจากความดื้อ ความโกรธ เคียดแค้น ที่มาจากพ่อแม่หรือคนที่เลี้ยงเราตอนเด็กๆ

  • ลงขา เป็นความโกรธที่มาจากตอนเด็กๆ ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับพ่อ


ส่วนคนที่ “น้ำหนักเกินมาทั้งตัว” นั้น Louise Hay บอกไว้ว่า… มาจากการที่เราไม่ยอมรับตัวเอง ลึกๆ แล้วเราต้องการการปกป้อง เราหนีความเป็นตัวเอง เราไม่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง เพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยที่จะเป็นตัวเอง เรายังรักตัวเองไม่มากพอ และเราต้องการการยอมรับจากคนอื่นเพื่อมาเติมเต็ม มาปกป้องร่างกายและจิตใจของเรา ความอัดอั้นทางอารมณ์และพลังงานตกค้างแบบนี้เลยแปลงสภาพมาเป็นชั้นไขมันสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเรา และทำให้เรามีน้ำหนักเกินทั้งตัว


หูยยย!!!! แปลกแบบมีทฤษฎีมาอธิบายและมีผลการรักษามารองรับ


มาค่ะ ใครกำลังมองหาวิธีลดความอ้วน แบบที่ไม่ต้องออกกำลังกาย ไม่ต้องลดอาหาร มาลองด้วยกันค่ะ วิธีการคือเราต้องยอมรับตัวเองอย่างแท้จริงให้ได้ บอกรักตัวเองบ่อยๆ พูดกับตัวเองหน้ากระจกทุกเช้า ว่าเราดีพอและพอดีสำหรับเราแล้ว เธอสวยมากกกก ชั้นรักเธออออ เดินผ่านกระจกที่ไหนก็ให้ชมตัวเองที่นั่น


 

                              Credit : Louise Hay on FB


ตามหลักการของ Louise Hay แล้ว เมื่อไหร่ที่เรารักตัวเองมากพอ เราจะไม่ต้องการปัจจัยภายนอกเพื่อมาเติมเติมเราอีกต่อไป…. รวมถึงเจ้าชั้นไขมันส่วนเกินนี่ด้วย


เพื่อนๆ อ่านแล้วคิดยังไงกันบ้างคะ?? ใครอยากลองทำไปพร้อมกัน ลงชื่อไว้เลยนะคะ เราจะได้มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ 🥳🥳🥳


นอกจากวิธีการลดความอ้วนด้วยการส่องกระจกที่ทาร่ายังไม่ได้พิสูจน์แล้ว ทาร่ายังมีอีกหลายเทคนิคประหลาดๆ ทางลัดในการไปถึงเป้าหมายในชีวิตอีกเยอะแยะมากมาย และหนึ่งในเทคนิคยืนหนึ่งไม่ยืนสองที่ได้รับการพิสูจน์จากทั้งทาร่าเองและเพื่อนๆ มาแล้ว คือ Vision Board ค่ะ 👉 แค่หารูปที่เราชอบมาแปะๆ ไว้ในที่ที่สามารถมองเห็นได้ทุกวันก็สามารถเร่งผลลัพธ์ในชีวิตของเราได้แล้ว ขอเชิญไปตำกันตามช่องทางต่อไปนี้เลยนะคะ


📙📙📙


หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow


แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj


💘 ช่องทางอื่นๆ ในการติดตามทาร่า:


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

Youtube: tarathow

IG: tarathow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow







โค้ชชิ่งลูกด้วยคำถาม 4 ข้อ สอนยังไงให้เหมือนไม่สอน

สำหรับโพสนี้ทาร่ามาบ่นในฐานะมนุษย์แม่ว่าบางที-บางพฤติกรรม-บางอย่างของลูกเราก็สามารถทำให้เราส่ายหัวได้เหมือนกัน ลูกชายคนโตของทาร่าชื่อไมเคิลค่ะ บางครั้งก็ซนตามภาษาเด็กผู้ชาย ชอบทำนู้นนี้ตก หกเลอะเทอะ บางครั้งก็เอาของเล่นไปโรงเรียนแล้วทำหาย เอามือถือเข้าไปเล่นในห้องน้ำแล้วทำตก บางวันไม่กินข้าวเย็นแล้วตื่นมาหิวตอนดึกๆ ต้องมาหาอาหารทานตอนกลางดึก ทาร่าเชื่อว่าคนที่เป็นแม่เหมือนกันน่าจะนึกออกเนอะ 😅


ในฐานะมนุษย์แม่ผู้ศึกษาและหลงใหลศาสตร์พัฒนาตัวเองขั้นสุด และเรียนโน่นนี่มาเยอะแยะ แน่นอนว่าทาร่าก็มีเทคนิคที่ใช้กับลูก ที่เวลาเพื่อนๆ มาเห็นแล้วต้องร้องว้าว!! 


มันคือการโค้ชชิ่งลูกด้วยการถามเพื่อชี้นำแล้วให้เค้าคิดเอง และคำถาม 4 ข้อที่ทาร่าใช้ คือ


1. มันเกิดอะไรเกิดขึ้น

2. ลูกได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้

3. หลังจากนี้ลูกจะทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม

4. แล้วเราจะแก้ปัญหาตรงหน้านี่ยังไง





ตัวอย่างจากสถานการณ์จริง คือเช้าวันที่ไมเคิลต้องไปโรงเรียน ซึ่งบางวันเขาตื่นเช้า หลังจากแต่งตัว กินข้าวเสร็จแล้ว ก็จะมีเวลามานั่งเล่นเกมต่อจนถึงเวลาที่แม่ (หรือป่ะป๊า) ไปส่งที่โรงเรียน วันนั้นก็เป็นอย่างนั้นแหละค่ะ คือเขาตื่นเช้า ทำทุกอย่างเสร็จแล้วก็นั่งเล่นเกม แล้วไม่ได้เล่นเปล่าๆ ดันเล่นไป กินน้ำว่านหางจรเข้ไปด้วย แล้วความซวยก็บังเกิด


... 


น้ำว่านหางจรเข้ สูตรผสมน้ำตาล แถมเนื้อแน่นเต็มขวด หกค่ะ!!! 


เลอะเทอะตั้งแต่คีย์บอร์ด โต๊ะ มาถึงพื้น ซึมไปในตู้เก็บของที่อยู่ติดๆ กันด้วย


ไมเคิลตกใจขั้นสุดเรียกแม่มาดูสภาพตรงหน้าและกำลังจะบีบน้ำตา (ท่าไม้ตายเค้าค่ะ)


“มัมมี่ ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว”


อ๊อยยย!! แม่นี่ความดันขึ้นเลย ลำพังต้องเช็ดถูหมดนี่ในเวลาปกติก็งานใหญ่แล้ว และนี่ดันมาหกเอาเช้าวันที่ต้องไปโรงเรียนอีก คือเราไม่มีเวลาเยอะขนาดนั้น ไมเคิลสัมผัสได้ถึงความมาคุของแม่ ร้องไห้เลยจ้าาาา อ๊อยยย… ชีวิตแม่จะมีอะไรบันเทิงได้มากกว่านี้อีกมั้ย


ทาร่ารีบตั้งสติแล้วงัดเอาเทคนิคโค้ชชิ่งมาใช้ (พอเรียนเยอะๆ อ่านเยอะๆ มันก็จะซึมออกมาได้ง่ายแบบนั้นล่ะค่ะ)


Q1: ไมเคิลใจเย็นๆ มองหน้ามัมมี่แล้วค่อยๆ เล่ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้น


ลูกชายทาร่าสงบสติอารมณ์ลงแล้วค่อยๆ เล่าให้ฟังว่า 


“ผมเล่นเกมแล้วหิวน้ำ เลยเอาน้ำมานั่งกินด้วย แล้วมันก็หกอย่างที่เห็นนี่แหละ”


Q2: หกแล้วมันเป็นยังไง ยูได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ในครั้งนี้


ไมเคิลหน้าจ๋อยและตอบมาว่า 


“ถ้ามันหกก็จะเลอะเทอะไปทุกที่ แล้วคีบอร์ดก็อาจจะเสียได้”


Q3: แล้วครั้งต่อไปยูจะทำอะไรที่แตกต่าง


ซึ่งไมเคิลก็พูดออกมาเองว่า 


“ต่อไปเวลาผมเล่นเกมหน้าคอมฯ ผมจะไม่เอาน้ำ ไม่เอาอะไร มากินตรงนี้อีกแล้ว”


ทาร่าถามต่อว่ารวมถึงขนมขบเคี้ยวด้วยหรือเปล่า แล้วก็ปล่อยให้เค้าคิดเอง ซึ่งแน่นอนคำตอบก็คือ “ใช่” เริ่ดดดด ลูกแม่ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างแล้ว และก็มาถึงคำถามสุดท้าย


Q4: แล้วเราจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วยังไงดี


ไมเคิลบอกว่า “ผมจะไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ด” 


แล้วเราก็ช่วยกันเช็ด แม่เลื่อนโต๊ะ ไมเคิลเช็ดนะ เดี๋ยวแม่ยกโต๊ะกลับเข้าที่ ไมเคิลเอาผ้าไปล้างน้ำแล้วกลับมาอีกรอบ จนทุกอย่างกลับเข้าสภาพเดิมและไมเคิลก็ได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง (ส่วนแม่ก็ได้ฝึกสติตั้งแต่เช้าเลยจ้าาา 😅)


—--------------





ซึ่งเทคนิคโค้ชชิ่งแบบนี้ก็ตรงกับที่ ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก เคยบอกในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการว่า 


พ่อแม่ควรให้ลูกฝึกแก้ปัญหาด้วยตนเอง ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกเสมอ ลูกจะขาดทักษะในการพัฒนาด้านความเชื่อมั่น หากเราให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง บางครั้งเด็กจะคิดไม่ค่อยเป็น หากพูดถึงภาพใหญ่ นั่นหมายความว่า ยอมให้ลูกได้เกรด B หรือ C บ้างแทนที่จะได้เกรด A ตลอดเพื่อให้ลูกเรียนรู้ทักษะในการแก้ปัญหาในการทำงาน


—---------------


นี่ก็เป็นเทคนิคโค้ชชิ่งลูกง่ายๆ ที่ใครๆ ทำได้ แต่ทาร่าคิดว่าที่จริงก็ใช้ได้กับสามี เพื่อน หรือพ่อแม่เราก็ยังได้เลย คือแทนที่จะเอาความคิดเราไปยัดเยียดให้ใคร แต่ใช้วิธีการถามนำทางเพื่อให้เค้าตระหนักเห็นปัญหา สาเหตุ เรียนรู้ วิธีแก้ปัญหา และมองเห็นภาพรวมของ ‘ปัญหา’ ด้วยตัวเอง


เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ทาร่านำมาฝากสำหรับผู้อ่านที่มีลูกวัยเดียวกัน นอกจากเรื่องโค้ชชิ่งลูกง่ายๆ แล้วทาร่ายังมีหนังสืออีกเล่มนึงที่ได้ตกผลึกศาสตร์โค้ชชิ่ง พัฒนาตัวเองไว้ด้วยกัน ผ่านการทำ Vision Board 


ถ้าคุณชอบ 4 คำถามโค้ชชิ่งลูก ทาร่ามั่นใจว่าคุณจะชอบเล่มนี้ด้วยเหมือนกันค่ะ 👇

 

📙📙📙

 

หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางอื่นๆ ในการติดตามทาร่า:

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

Youtube: tarathow

IG: tarathow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow


14 มกราคม 2565

ถอดรหัสความสำเร็จของ Melanie Perkins ผู้ก่อตั้ง Canva

Melanie Perkins เป็นหนึ่งในไอดอลของทาร่าเลยค่ะ เธอเป็นผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Canva ซึ่ง ค.ศ. นี้คงไม่มีใครไม่รู้จักแพลตฟอร์ม การออกแบบกราฟฟิก เพราะมีทั้ง เว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น ทำให้เราสามารถออกแบบกราฟฟิก โซเชียลมีเดีย เอกสาร โปสเตอร์ มีเทมเพลตให้เราเลือกใช้ ทำให้เราสามารถออกแบบงานกราฟิกได้ภายในไม่กี่นาที 


ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า Canva กับทาร่านี้ซี้กันค่ะ คือทาร่าใช้แพลตฟอร์มนี้ทุกวัน แถมซื้อเทมเพลตใดๆ จากแพลตฟอร์มนี้ไว้เยอะมาก มีประโยชน์สุด ๆ สำหรับสายงานคอนเทนต์ หรือ คนธรรมดาทั่วไปค่ะ 






Melanie Perkins เป็นคนออสเตรเลียค่ะ คุณพ่อมีเชื้อสายมาเลเซีย ทำให้หน้าตาออกเลยค่อนไปทางสาวเอเชีย อาศัยอยู่ที่ซิดนีย์ค่ะ ล่าสุดเธอขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐี อ้างอิงจากนิตยสาร Fobes เธอมีสินทรัพย์ 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท เรียกได้ว่าใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด ถามว่าเธอมีวันนี้ได้ยังไง แล้วเราจะเดินตามรอยเธอได้ไหม มาค่ะ ทาร่าจะเล่าให้ฟัง 



ย้อนไปเมื่อปี 2018 ทาร่าเคยมีโอกาสฟังสาวสวยคนนี้บรรยายแบบสดๆ ด้วยค่ะ เพราะเธอขึ้นเป็นแขกรับเชิญให้กับ Robert Kiyosaki เจ้าของหนังสือด้านการเงินที่ทุกคนต้องรู้จักนั่นคือ "พ่อรวยสอนลูก" ค่ะ ตอนนั้นเธอบอกว่าเป็นการบรรยายสดครั้งแรกของเธอเลย เธอยังพูดผิดพูดถูก เรียบเรียงประโยคยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมยังต้องเปิดโน้ตไปมาอีกด้วย


Melanie Perkins เริ่มต้นขึ้นบนเวทีแล้วถามว่า มีใครรู้จักเว็บไซต์ Canva บ้างไหม ตอนนั้นยังมีคนรู้จักน้อย มีคนยกมือแค่หลอมแหลม เธอหัวเราะเขินๆ แล้วพูดว่า “ว้าว ธุรกิจของฉันยังโตได้อีกเยอะเลย” 


นี่คือข้อแรกที่ทาร่าประทับใจในตัวเธอค่ะ เธอเห็นข้อแตกต่างระหว่าง การคิดบวก กับการหลอกตัวเองไปวันๆ ตอนนั้นแพลตฟอร์มนี้เป็นที่นิยมในระดับหนึ่งนะคะ แทนที่เธอจะบอกว่า “อะไรกัน คุณไม่รู้จักโปรแกรมฉันได้ยังไง มันดังนะ มันดีมากๆ” ประโยคของเธอทำให้ทาร่าสัมผัส ได้ว่าคนที่คิดบวก เค้าเป็นกันอย่างงี้นี่เอง


หลังจากนั้น Melanie Perkins เล่าเส้นทางการเดินทางกว่าจะเป็น Canva การที่เธอต้องเดินทางไป Pitch (หมายถึงการนำเสนอสินค้า ไอเดียการทำธุรกิจ ต่อหน้ากรรมการ หรือนักลงทุน เพื่อให้เค้ามาลงทุนมารันธุรกิจ) เธอเล่าถึงอุปสรรคเยอะแยะมากมาย ไม่ง่ายเลยค่ะที่นักออกแบบโลเทคแบบเธอจะต้องไปขายไอเดียนี้ให้กับทีมงานสายไอทีเพื่อให้มันออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และยิ่งยากไปอีกเมื่อต้องไปหาเงินทุนจากนักลงทุนเพื่อให้บริษัทโตขึ้น



                                     แพลตฟอร์ม canva ใช้ง่ายสุดๆ


สิ่งทาร่าชอบที่สุดคือมุมมองที่เธอมีต่อ "อุปสรรค" เธอบอกว่า ความยาก-ความง่าย ความล้มเหลว-ความสำเร็จ เส้นทาง การใช้ชีวิตการทำธุรกิจของทุกคน มันเป็นของคู่กัน มันเหมือน ผู้หญิงกับผู้ชาย


อยากให้ลองนึกภาพค่ะ ถ้าเราทำธุรกิจแบบแมนๆ ใช้แต่สมองกับกำลังแค่สองอย่าง มันก็ไม่ได้เนอะ บางทีการทำงานแบบผู้หญิงๆ ความเห็นอกเห็นใจ ความอ่อนโยนในการดีลงานก็ช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้เหมือนกัน 


บนโลกนี้ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นพลังงานหยินหยาง ตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปก็ไม่ได้ ถ้าเราทานแต่อาหารที่ร้อนเกินไป เราก็จะเป็นร้อนใน แต่ถ้าเราทานอาหารเย็นๆ ตลอดเวลา ร่างกายเย็น มันจะป่วยอีกแบบ เพราะฉะนั้นทุกอย่างในชีวิตต้องมีความสมดุล 


แล้วเราจะคาดหวังให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จอย่างเดียวได้ยังไง?? ในเมื่อความสำเร็จกับความล้มเหลวคือเรื่องเดียวกัน ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ เราก็ต้องยอมรับความล้มเหลวให้ได้ด้วย และเรียนรู้จากมันให้มากและเร็วที่สุด 


และฮุกสุดท้ายของการบรรยายของเธอที่ยังอยู่ในใจทาร่ามาจนถึงทุกวันนี้คือการที่เธอเปรียบเทียบความสำเร็จ-ความล้มเหลวในชีวิตกับกลางวัน-กลางคืน 


"ในขณะที่พระอาทิตย์ทำหน้าที่ส่องแสงให้พลังงานกับทุกคนในตอนกลางวัน แสงนวลผ่องของพระจันทร์ก็ช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายและหลับสบายเพื่อที่จะชาร์จตัวเองในเวลากลางคืน มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เราจะชื่นชอบ พระอาทิตย์มากกว่าพระจันทร์ เพราะดาวทั้งสองดวงล้วนส่องแสงได้อย่างเพอร์เฟคในช่วงเวลาของมัน"





เป็นไงบ้างคะ ข้อคิดจากเจ้าของแพลตฟอร์มการออกแบบที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นอีกเทคนิคที่ ทาร่าคิดว่าทุกคนนำไปปรับใช้ได้ค่ะ นอกจากนั้นยังมีเทคนิค Vision Board ที่ทาร่าลงมือศึกษา ปฎิบัติจริง จนทำให้ชีวิต เป๊ะปัง มาแล้ว นั่นคือ


📙📙📙

 

หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางอื่นๆ ในการติดตามทาร่า:

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

Youtube: tarathow

IG: tarathow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow



โอกาสเงินง่าย เงินฟรี!! แต่ทำไมมีแต่คนเดินหนี

เงินง่าย เงินฟรี ทำไมมีแต่คนเดินหนี


ทาร่ามี Bucket List อยู่เรื่องนึงที่อยากทำมากๆ คือการแจกเงินค่ะ





ทำไมน่ะเหรอคะ?? เพราะทาร่าเคยอ่านหนังสื่อชื่อ Blink: The Power of Thinking Without Thinking ของ Malcolm Gladwell ที่เค้าเล่าไว้ว่าสาเหตุที่คนส่วนใหญ่อยากรวย แต่ยังไม่รวย เพราะเป็นเรื่องของ mindset ค่ะ


คนที่จนก็เพราะมี mindset แบบคนจน ต่อให้เอาเงินมากองให้ตรงหน้า คนพวกนั้นก็ยังจะมองข้ามแล้วก็พร่ำบ่นว่า “ฉันอยากรวย ฉันอยากรวย” ต่อไป


พวกเขาอยากรวยแต่ก็ปฎิเสธเงินโดยที่ไม่รู้ตัว และนี่ไม่ใช่เรื่องมโนหรือคำบรรยายที่เกิดมาจากความคิดเท่านั้น แต่เขายังสามารถแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ด้วยการทดลองแจกเงินค่ะ!!! ในการทดลองนี้ เขาได้เอาเงินไปวางบนโต๊ะไว้กองนึงพร้อมติดป้ายว่า “เงินฟรี หยิบเท่าไหร่ก็ได้” เชื่อมั้ยคะว่าไม่มีใครหยิบเลย


เขาถึงขนาดเอามันมาแจกให้กับมือ แต่ก็ยังไม่มีคนรับอีก


“คุณอยากได้เงินมั้ย”


”ไม่ล่ะ ขอบคุณมากนะ”


“คุณไม่อยากได้เงินเหรอ”


”ไม่ใช่วันนี้”


ว้อท!! ทุกคนอยากรวย ทุกคนทำงานเพื่อเงิน แต่เมื่อมีคนเอาเงินง่ายๆ เงินฟรีๆ มาให้ ทุกคนกลับปฎิเสธมัน หนังสือเล่มนี้ยังได้อธิบายถึงการทำงานของ mindset ไว้อีกเยอะแยะ แต่ทาร่าขอยังไม่เล่านะคะ ทาร่าแค่อยากเล่าว่า… ทาร่าเองก็เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง เก็บความสงสัยนี้มานาน และอยากพิสูจน์ว่า ถ้าเราเอาเงินไปแจกฟรีจริงๆ คนส่วนใหญ่จะรับมั้ย??


คิดได้อย่างนั้นแล้วก็ชวนเพื่อนๆ 3 คนมาร่วมทำการทดลองที่ซิดนีย์แบบเดียวกับที่ Malcolm เล่าไว้เมื่อปี 2007 (ทาร่าอัดคลิปไว้ใน youtube เมื่อปี 2020) โดยการทดลองครั้งนี้ทาร่าเตรียมเงินมาทั้งหมด 1,000 เหรียญ (ประมาณ 24,000 บาท) พร้อมกับป้ายที่เขียนว่า YOUR FREE MONEY และมีตัวเองกับเพื่อนๆ ไปยืนแจกเงินอยู่ประมาณ 10 กว่านาที และเราก็ได้ข้อสรุปมาว่า…….


แจกเงินฟรีๆ นี่ยากกว่าตอนที่แจกโบรชัวร์โฆษณาอีก!! คนส่วนใหญ่เดินหนี บางคนเดินมาดู แต่น้อยคนมากๆ ที่จะรับเงินฟรีแบบไม่มีเงื่อนไข




คอมเม้นต์จากเพื่อนคนที่หนึ่ง “แต่ละคนมองหาโอกาสไม่เหมือนกัน คนที่กำลังมองหาโอกาส คือแค่เราหยิบยื่นเค้าก็รีบคว้าไว้ แต่กลับคนที่ไม่ได้มองหาโอกาส ต่อให้เราหยิบยื่นแทบตาย เค้าก็ไม่คว้าไว้ พี่คิดว่าขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของเค้าด้วยว่า ตอนนั้นเค้าอยากได้โอกาสมากน้อยแค่ไหน”


คอมเม้นต์จากเพื่อนคนที่สอง”ผมเป็นคนมองหาโอกาสนะ แต่ต้องเป็นโอกาสที่เข้ากับเราได้ ถ้าผมทดสอบแล้วคิดว่าทำได้ดี ผมพร้อมรับโอกาสนั้น อีกอย่างนึงน่าจะเป็นเรื่องของตอนที่เราแจกเงินให้เค้า ถ้าเรามีพลังในการส่งต่อ มีพลังของการให้เงิน คนที่รอรับอาจจะได้รับรู้ถึงความรู้สึกนั้นแล้วพร้อมรับมันก็ได้”


คอมเม้นต์จากเพื่อนคนที่สาม “คือมันไม่ใช่เรื่องปกติที่คนจะมาแจกเงินฟรีกันไง อะไรที่คนเค้าไม่คุ้น เค้าก็ปฎิเสธไว้ก่อนแหละ เป็นพี่พี่ก็ไม่เอานะ แต่ถ้าเรามายืนแจกกันทุกวัน หรือมีหลายๆ คนมาแจกกันทุกที่ พอมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แบบนี้อ่ะพี่ถึงจะกล้ารับ”


วันนั้นมีสาวเยอรมัน 2 คนมารับเงินแล้วก็พูดคุยกับพวกเรา ทาร่าบอกเค้าว่าฉันแค่อยากพิสูจน์ว่า Malcolm พูดจริงมั้ย เธอก็หัวเราะแล้วขอบคุณพวกเรายกใหญ่แถมยังบอกอีกด้วยว่า “ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่เยอรมัน พวกฉันก็อาจจะไม่กล้ารับนะ แต่บังเอิญว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวแล้วมาเจอเรื่องนี้ที่ซิดนีย์ เราก็เลยเข้ามารับแจกบ้างเพราะคิดว่ามันน่าสนใจดี คนซิดนีย์น่ารักดีเนอะ 😆”

หนังสือที่ทำให้ทาร่าอยากแจกเงิน


จากเดิมที่ทาร่าคิดว่าคนทั่วไป น่าจะรับเงินคนอื่นทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย อาจจะเป็นเพราะกลัวคิดว่าเป็นมิจฉาชีพด้วยหรือเปล่า หรืออาจจะมีหลายร้อยเหตุผลในความคิดของคนค่ะ 


แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทาร่าอยากฝากไว้ให้ทุกคนท้ายบล็อกนี้ค่ะ คำว่า “โอกาส” สั้นๆ คำนี้เป็นคำที่ยิ่งใหญ่มาก ถ้าเราได้รับมันไม่ว่าจะได้จังหวะเวลาไหนของชีวิต สิ่งที่เราควรทำ คือ ถาม พิจารณา สงสัยไว้ก่อน ว่าโอกาสนั้นเป็นยังไง เหมาะไม่เหมาะกับเรายังไง เราค่อยนำมาปรับใช้ แบบนี้น่าจะดีสุด 


ดูคลิปได้ที่นี่ค่ะ


เช่นเดียวกับ “โอกาส” ที่ทาร่าได้รู้จักเรื่องของ Vision Board ที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงตัว(ไม่)เล็กคนนึง ที่เปิดร้านนวดก็เจ๊ง ซื้อทองก็ดอย ซื้อหุ้นก็ไม่ขยับ แถมยังตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่ซ้ำซาก ให้กลายมาเป็นนักลงทุนอสังหา หุ้น แล้วก็มีธุรกิจเล็กๆ ที่เลี้ยงดูทาร่าได้โดยที่ทำงานแค่อาทิตย์ละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น 


ทาร่าได้นำความรู้และประสบการณ์ในการทำ Vision Board ให้ได้ผลเป๊ะปังมาเล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว เพื่อนๆ อย่าปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปนะคะ ทาร่าเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะเปลี่ยนชีวิตคุณจริงๆ

 

📙📙📙

 

หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางอื่นๆ ในการติดตามทาร่า:

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

Youtube: tarathow

IG: tarathow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow