26 มีนาคม 2565

เคล็ด (โคตร) ลับ (ช่วย) กระชับความสัมพันธ์

ย้อนเวลากลับไปเมื่อปี 2007 ทาร่ามีโอกาสเรียน NLP (การโปรแกรมจิตใต้สำนึก) ครั้งแรกกับ George Faddoul สถาบันชื่อ QC Seminars ที่ออสเตรเลีย ก็เอามาใช้บ้าง ลืมบ้าง บางเรื่องที่ดูไม่เป็นประโยชน์ในตอนนั้น ต้องขอบคุณช่อง Youtube, Blockdit, Blogger ต่างๆ ที่บังคับให้ทาร่าต้องไปดูโน้ตเก่าๆ ของตัวเองเพื่อที่จะหาความรู้มาแบ่งปันกับเพื่อน ๆ และวันนี้ทาร่าก็เจอเทคนิคการพัฒนาความสัมพันธ์อันนึงที่เคยเรียนมาตั้งแต่ปี 2007 โน้นนนน… ที่อยากจะเอามาแบ่งปันกับเพื่อน ๆ ค่ะ


💗 มันชื่อว่า “Relationship Magic” (ที่แปลว่า มหัศจรรย์ของความสัมพันธ์) นั่นเอง


ทุกสิ่งอย่างในโลกนี้มันจะยังมีความเป็นอิสระ มันจะเป็นอะไรก็ได้ หรือมันจะเป็นหลายๆ อย่างในคราวเดียวกันก็ยังได้ จนกระทั่งเรามีคำนิยาม หรือเรามีชื่อเรียกให้มัน ยกตัวอย่างเช่น หนังสือชื่อ 21 Lesson for the 21 Century เป็นหนังสือที่ทาร่ารักมาก ๆ แน่นอนว่าในความจริงข้อนึง มันก็เป็นหนังสือที่ดีมาก ๆ เล่มนึง (ทาร่าเคยเล่าถึงไปแล้ว แปะลิงก์ไว้ให้ท้ายบทความนะคะ) 



Credit : Unsplash 


ในขณะเดียวกันหลายคนก็เอามาใช้เป็นของตกแต่งบ้าน ตกแต่งออฟฟิศ เป็นพร็อพสำหรับคนที่ต้อง live บ่อยๆ พอมีหนังสือดีๆ พวกนี้วางไว้ก็จะช่วยเพิ่มเครดิตให้เจ้าของบ้านขึ้นมาทันที 


และมีอยู่ช่วงนึงที่ทาร่าเอามาใช้เป็นที่ทับกระดาษ เพราะมันหนาดีเหลือเกิน 


แต่สุดท้ายแล้ว ความหมายหรือคุณค่าทางใจที่แท้จริงของหนังสือเล่มนี้สำหรับทาร่า คือ มันคือของขวัญจากไอดอลของทาร่าเองค่ะ เค้าให้มาตอนจัดออฟฟิศใหม่ พร้อมข้อความว่า “อยากให้อ่านนะ เอาไว้เป็นแนวทางในการเลี้ยงลูก” งื้อ แค่นี้ก็ทำให้หนังสือธรรมดากลายมาเป็นเครื่องราง ของขลัง ประจำโต๊ะทำงานของทาร่าแล้วค่ะ 


พูดง่ายๆ ก็คือ………


ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ (หรือนอกโลกใบนี้) มันขึ้นอยู่กับคำนิยามที่เราตั้งให้มันค่ะ


💖 เพราะฉะนั้น Relationship Magic ก็คือการที่เราปรับคำนิยามให้กับความสัมพันธ์ของเราค่ะ อะไรที่ไม่ดีก็โยนใส่ถังขยะแล้วเอาไปทิ้งซะ ส่วนอะไรดีๆ ก็ชี้ไปที่หน้าเค้าแล้วตะโกนออกไปดังๆ เรื่องนี้สามารถเอามาปรับใช้ได้กับทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็น แฟน เพื่อน สามี ภรรยา เจ้านาย ลูกน้อง ลูก พ่อ แม่ พ่อตา แม่ยาย พ่อปู่ แม่ย่า คือเอามาปรับใช้ได้หมดเลยค่ะ



Credit : Unsplash 


ส่วนวิธีการก็แสนง่ายดาย มีแค่ 2 ขั้นตอนเท่านั้น


🍀 1. ให้เราหาถังขยะมา 1 ใบและวางไว้ข้างหน้าคนที่เราอยากจะปรับจูนความสัมพันธ์ด้วย และพูดข้อเสียทุกอย่างของเค้า พร้อมกับชี้ไปที่ถังขยะ เช่น เธอเป็นคนขี้เกียจ เธอไม่พาชั้นไปเที่ยว เธอกินขนมแล้วไม่เอาไปทิ้ง เธอชอบถอดถุงเท้าทิ้งไว้ในห้องรับแขก เธอนอนดึก เธอไม่ช่วยล้างจาน เธอชอบซักผ้าแบบ 30 นาที มันไม่สะอาด เธอชอบเล่นเกม เธอ เธอ เธอ !!! ทุกอย่างที่เธอเป็นแล้วชั้นไม่ชอบ พูดไป ชี้ถังขยะไป ระบายออกไปให้หมดจนรู้สึกโล่ง หลังจากนั้นก็ผูกถุง แล้วเอานิยามแย่ๆ ของเค้าไปทิ้งซะ


🍀 2. กลับมานั่งข้างหน้าเค้าอีกครั้ง และค่อยๆ พรั่งพรูความจริงด้านดีๆ ของเค้าออกมาพร้อมกับชี้ไปที่เค้าด้วย เช่น เธอหล่อ เธอแซ่บ เธอเป็นพ่อที่น่ารักมาก เธอไม่ใช้เงิน เธอไม่ออกไปไหน เธอมีเวลาให้ครอบครัวเสมอ เธอให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับหนึ่ง เธอนิสัยดี เธอมีน้ำใจ เธอใจเย็น เธอรักสัตว์ เธอปลูกต้นไม้ เธอซื้อของเข้าบ้าน เธอทำอาหาร เธออบอุ่น เธอตามใจชั้นทุกอย่าง เธอมีความสุข เธอฉลาด เธอ เธอ เธอ!!! พูดแต่เรื่องดี ๆ ของเธอ แล้วชี้ไปที่เธอ


แล้วคุณจะได้พบความมหัศจรรย์ของความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนที่อยู่ตรงหน้าค่ะ 😘


ลองทำกันดูนะคะ ได้ผลยังไง กลับมาแชร์ให้ทาร่าฟังบ้างนะคะ 


นอกจากเทคนิคดีๆ ที่ช่วยสร้างความมหัศจรรย์ให้กับความสัมพันธ์แบบ Relationship Magic แล้วทาร่ายังมีอีกเทคนิคนึงที่ดีงามไม่แพ้กัน นั่นคือการหารูปชีวิตในฝันของเรามาแปะไว้ในที่ที่สามารถมองเห็นได้ทุกวัน และ ปิ๊ง!!! จักรวาลจะจัดสรรสิ่งนั้นมาให้คุณอย่างไม่น่าเชื่อ


สำหรับความรู้เรื่อง NLP (การโปรแกรมจิตใต้สำนึก) และวิธีการทำ Vision Board อย่างละเอียดนั้น ทาร่าได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้วค่ะ อยากให้เพื่อนๆ ทุกคนได้อ่านและค้นพบทางลัดไปสู่ความสำเร็จและผลลัพธ์ในชีวิตด้วยกันนะคะ



📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

Line: @tarathow





20 มีนาคม 2565

รู้ก่อนได้เปรียบ 4 ทักษะสำหรับเด็กที่เกิดในศตวรรษที่ 21

 💢 บทความนี้สำหรับคนที่มีลูกมีหลานทุกคนค่าาา… อย่างที่เรารู้กันว่าโลกทุกวันนี้มันหมุนเร็วมาก (หรือเรียกได้ว่าเหวี่ยงเร็วอาจจะเหมาะกว่า) ใครจะจินตนาการได้ว่าภายในไม่ถึง 100 ปี โลกจะพัฒนามาได้ไกลขนาดนี้ 

ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย เมื่อ 40 ปีที่แล้วถ้าเราอยากติดต่อสื่อสารกับใครอีกคน จากอีกซีกโลกหนึ่ง เราจะต้องส่งจดหมาย ส่งโทรเลข ใช้เวลาเร็วสุด 1-2 เดือน แต่ทุกวันนี้ทาร่าอยู่ออสเตรเลีย ปะป๊า แม่ พี่สาว น้องชายอยู่ที่สงขลา แค่ส่งข้อความไปในไลน์กลุ่มกริ๊กเดียวก็ได้รับพร้อมกันแบบ (แทบจะ) real time เลย

ทาร่ายกตัวอย่างให้เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพวิวัฒนาการสั้นๆ ของโลกเรา ซึ่งแน่นอนว่ายุคคุณแม่ ยุคเรา และยุคของลูกหลานเรา มันไม่เหมือนกัน มันต่างกันมากกก


Credit:Pixabay

แล้วคนเป็นพ่อเป็นแม่เราอย่างเราควรจะสอนทักษะอะไรให้กับลูกของเราดี ???

ทาร่าได้หนังสือเล่มนึงมาจากไอดอลการลงทุนของทาร่าเองค่ะ "21 Lessons for the 21st Century" (ชื่อภาษาไทย คือ 21 บทเรียนสำหรับศตวรรษที่ 21) เขียนโดย Yuval Noah Harari คนเดียวกับหนังสือขายดี Sapiens (เซเปี้ยน ประวัติย่อมนุษยชาติ) 



ด้วยความที่ทาร่าเป็นมนุษย์แม่ลูกสอง เลยสนใจเรื่องของเด็กๆ เป็นพิเศษ และหนังสือเล่มนี้ก็มีคำตอบให้ทาร่าค่ะ ว่ามีทักษะอะไรบ้างที่เราต้องใส่ใจ และสอนให้ลูกๆ ของเรา เพื่อให้เค้าสามารถใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้มีความสุขและประสบความสำเร็จ ทาร่าเลยอยากเอามาแชร์กับเพื่อนๆ ด้วย ตามนี้ค่ะ


เค้าเรียกมันว่า 4Cs ได้แก่ Critical Thinking (คิดแยกแยะเป็น), Creativity (จินตนาการ), Communication (ติดต่อสื่อสาร), Collaboration (ทำงานร่วมกับผู้อื่น)


1) Critical Thinking คิดแยกแยะเป็น 

ถามว่าทักษะนี้สำคัญยังไง? มันสำคัญมากๆ เพราะว่าเด็กๆ รุ่นนี้เกิดมาในยุคที่ข้อมูลล้นโลกไปหมด อยากรู้อะไร อยากถามอะไร แค่พิมพ์ไปใน Google ข้อมูลก็ไหลออกมาเป็นหลายร้อยหน้า หลายร้อยคำตอบ ถ้ารวมกับ Facebook, Youtube, Tiktok ด้วย ข้อมูลก็จะยิ่งเยอะเข้าไปอี๊กกก


เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องสอนลูกๆ ของเราให้สามารถคิดเองได้ค่ะ เค้าต้องสามารถวิเคราะห์เป็นว่าข้อมูลแต่ละอย่าง ที่คนนู้น คนนี้ คนนั้น บอกมาเนี่ยะ มันมีความเป็นไปได้ มีความน่าเชื่อถือขนาดไหน มีความจริงอยู่ในนั้นกี่เปอร์เซนต์ 


เช่น เคยมีการส่งข้อความเตือนกันมาว่า เจอพยาธิในสมอง เพราะดินกินปลาดิบ เฮ้ย!!! เรื่องนี้ทาร่าเคยคุยกับน้องสะใภ้ที่เป็นหมอฟัน แล้วเราก็ช่วยกันวิเคราะห์ว่าการที่พยาธิจะเดินทางออกจากระบบทางเดินอาหารที่ประกอบด้วย ปาก หลอดอาหาร กระเพาะ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และทวาร แล้วไปโผล่ที่สมองซึ่งมีเนื้อเยื่อห่อหุ้มอยู่หลายชั้นนี่มันเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน??


(ความเห็นส่วนตัว ทาร่ากับน้องสะใภ้คิดว่าเป็นไปได้ยากมากๆ เราไม่เชื่อ แต่ก็มีหลายคนที่เชื่อ และก็ยังส่งต่อๆ กันไป และเลิกกินปลาดิบไปเลยก็มี)


Credit:Pixabay


และยังอีกหลายๆ เรื่องที่เราได้รับการแชร์ต่อๆ กันมาในแต่ละวัน ตั้งแต่ คลิปโตจะมาแทนเงินจริงๆ หุ่นยนต์จะมาทำงานแทนคนได้ พลังงานไฟฟ้าจะมาแทนที่น้ำมันและถ่านหิน ธนาคารกำลังจะเจ๊ง คนที่เคยเป็นโควิดต่อให้หายแล้วแต่ปอดก็ไม่เหมือนเดิม และอื่นๆ อีกมากมาย…


ที่เราต้องกลั่นกรองอยู่ทุกวันว่าอะไรคือความจริง?? และมันจริงสำหรับใคร?? หรือจริงกี่เปอร์เซ็นต์?? และเราควรจะทำยังไงกับความจริงนั้น??


ในอดีตคนที่มีข้อมูลมากกว่าจะได้เปรียบในการตัดสินใจและวางแผนชีวิต แต่ในยุคนี้ทุกคนมีข้อมูลเท่ากันหมด สิ่งที่จะชี้วัดความได้เปรียบในชีวิต คือ ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลค่ะ



2) Creativity (จินตนาการ) 


เชื่อไหมคะว่ายุคนี้ ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการสำคัญกับทุกสายอาชีพ ไม่ใช่แค่อาชีพศิลปิน หรือ นักร้อง นักดนตรี แม้แต่แม่ค้าขายขนมครก ก็ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ เราจะขายขนมครกยังไงให้ดึงดูดลูกค้า??

ทักษะ 'จินตนาการ' นี้จะทำให้เด็กๆ สามารถมองเห็นและเข้าใจปัญหาในหลากหลายแง่มุมที่คนอื่นอาจมองไม่เห็น ทำให้เด็กๆ ค้นพบการคิดหาแนวทางการแก้ปัญหาด้วยวิธีการใหม่นั่นเอง 

ทาร่าเชื่อว่ายิ่งโลกเราหมุนเร็วเท่าไหร่ ทักษะนี้ก็ยิ่งสำคัญมากเท่านั้น เพราะโลกกำลังเกิดการ disrupt ในทุกด้าน ความคิดสร้างสรรค์จะเป็นตัวจุดประกายวิธีคิดที่แตกต่างจากการคิดแบบเดิมๆ ไม่จำเป็นต้องทำอย่างที่เคยทำ และช่วยส่งเสริมนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม


Credit:Pixabay


3) Collaboration ทำงานร่วมกับผู้อื่น

ทีมเวิร์คอิสสสสะพาวเวอร์!!! (Team work is power) หนึ่งในทักษะที่ทุกสายงานจำเป็นต้องมี แล้วเด็กๆ รุ่นใหม่จำเป็นต้องมีตั้งแต่ตอนเป็นเด็กน้อยเลย คือต้องให้เค้ารู้จักการทำงานเป็นทีมเวิร์ค (Teamwork) และการประสานงาน (Cooperation) 

เราต้องฝึกให้เขารู้ด้วยตัวเองว่าการทำกิจกรรมต่างๆ และแบ่งปันสิ่งของกับเพื่อนๆ สนุกกว่าการทำกิจกรรมคนเดียว ให้เขาได้เรียนรู้ว่าทุกอย่างในโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเขา 

เพราะในโลกของการทำงานที่แท้ทรู ทุกคนต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น ต่อให้คุณจะรับบทเป็นนักเขียนผู้ทำงานปลีกวีเวกในป่าใหญ่ คุณก็ต้องพูดคุยกับ บ.ก. อยู่ดี 

และที่สำคัญเราต้องฝึกให้เค้ารู้ตั้งแต่เล็กๆ ว่า มีคนที่ไม่ได้ความคิดเหมือนเราในทุกเรื่อง ฉะนั้นเด็กๆ ต้องเรียนรู้และปรับตัว ฝึกฝนให้รู้ว่าเมื่อเค้าไปเจอคนที่คิดต่างกับเรา เค้าจะจัดการปัญหานั้นยังไง

Credit:Pixabay

4) Communication การสื่อสาร

เด็ก ๆ ต้องฝึกฝนทักษะการสื่อสารเพื่อที่สามารถถ่ายทอดความคิดให้ผู้อื่นเข้าใจอย่างชัดเจน ผ่านการสื่อรูปแบบต่างๆ หัวใจของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ควรจะกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ ตรงประเด็น เข้าถึงผู้คน และรวมถึงการอ่านความรู้สึกผู้ฟังด้วย 

การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เด็ก ๆ สามารถสื่อสารความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่หลงประเด็น ซึ่งพ่อแม่สามารถช่วยลูกๆ ฝึกฝนทักษะการสื่อสารผ่านกิจกรรมง่ายๆ ที่บ้านได้ เช่น พูดคุยกับลูกบ่อยๆ สร้างบรรยากาศที่ดีให้เขาสบายใจที่จะคุยกับเรา อดทนฟังเขาพูดให้จบอย่าไปตัดบทก่อน 

เป็นยังไงบ้างคะ?? 4 ทักษะจำเป็นสำหรับเด็กที่เกิดในศตวรรษที่ 21 ที่ทาร่าคิดว่าสามารถนำไปปรับใช้ได้กับคนทุกวัยเลยค่ะ ทุกวันนี้โลกของเราเปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกิน ใครรู้ก่อน ปรับตัวก่อน ได้เปรียบค่ะ 

Credit:Pixabay



🌈 ความรู้หรือทักษะใหม่ๆ ก็เหมือนเรามีไอเท็มใหม่ๆ ในเกมก่อนคนอื่น ทาร่าเป็นคนนึงที่หลงใหลในศาสตร์พัฒนาตัวเองและพยายามหาทางลัด หาไอเท็มใหม่ๆ มาเก็บในเกม (ชีวิต) ของตัวเองอยู่เสมอ และ Vision Board ก็เป็นหนึ่งในไอเท็มในดวงใจของทาร่า ที่ใช้มา 10 กว่าปีแล้วค่ะ มันง่ายและได้ผลมากๆ 💯 ทาร่ายังไม่เคยได้ยินใครที่มี Vision Board แล้วไม่ได้ผลลัพธ์ในแบบที่ตัวเองฝันไว้เลยค่ะ



🌈 สำหรับใครที่อยากทำความรู้จักกับไอเท็มชิ้นนี้อย่างละเอียด ไปตำเล่มนี้กันค่ะ 👇


📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆ ที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

Line: @tarathow


อ้างอิงเพิ่มเติม :  https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/protect-my-family/4c-learning-skills-for-kids-21st-century-banner.html







17 มีนาคม 2565

สูตรลับชีวิตดี๊ดี “ผ่อนบ้านให้หมดไว” ที่ธนาคารไม่บอกคุณหรอก

อยากมีชีวิตดี๊ดี มีเงินใช้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องทำงานเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่ชั่วโมงเดียวกันมั้ยคะ?? 


บางครั้งความดี๊ดีก็ไม่ได้มาในรูปแบบของการมีเงินเพิ่มเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการ………. มีรายจ่ายที่น้อยลงด้วย เคยคิดกันมั้ยคะว่าถ้าหนี้บ้านที่เราผ่อนอยู่หมดเร็วขึ้น 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปยังไง?? เราจะเอาเงินค่าผ่อนบ้านไปทำอะไร?? เราอาจจะเกษียณได้เร็วขึ้นรึเปล่า??


ทาร่าเคยทำงานเกี่ยวกับสินเชื่อบ้านมาก่อนค่ะ แต่หลังๆ เริ่มรู้สึกอิ่มตัว เบื่อเรื่องเงิน อยากจะใช้ชีวิตที่มีสมดุล ได้ดูแลสุขภาพ มีเวลาให้ครอบครัว ไปเที่ยว พักผ่อน อยู่กับตัวเองมากขึ้น ทาร่าเลยเลิกทำสินเชื่อแล้วหันมาสอนภาษาไทยให้เด็ก ๆ ที่เกิดต่างประเทศแทน


แต่ความรู้เรื่องเรื่องสินเชื่อ การเงิน ก็ยังเป็น passion อยู่ลึก ๆ ที่บางทีก็คิดถึงอยู่เหมือนกัน มาค่ะ วันนี้ทาร่าจะมาแชร์เทคนิคง่าย ๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้กัน 👉 วิธีปิดหนี้บ้านเร็วๆ แล้วเราจะได้ไปใช้ชีวิตกันค่ะ 🥳🥳🥳


Credit : Unsplash


Albert Einstein นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกเคยบอกไว้ว่า “ดอกเบี้ยทบต้น” เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก ใครเข้าใจมันก็จะมีรายได้จากส่วนนี้ ใครที่ไม่เข้าใจก็ต้องจ่ายไปเรื่อย ๆ


ถ้าคุณสังเกตุ loan statement ของตัวเองดี คุณจะเห็นตัวเลขในอัตราส่วนประมาณนี้ค่ะ


  • หนี้ 3,000,000 บาท

  • ดอกเบี้ย 3%

  • กู้ 30 ปี 

  • ผ่อนเดือนละ 12,648 บาท

  • 1 ปีผ่านไป เท่ากับ 151,776 บาท

  • 1 ปีผ่านไป หนีเหลือ 2,937,366 บาท

  • แปลว่าเงินต้นลดไปแค่ 62,634 บาท

  • ส่วนที่เหลือคือดอกเบี้ย 89,142 ฮือ!!!


และในปีที่ 15 นั้น


  • เราก็ยังจะผ่อนเดือนละ 12,648 บาทอยู่

  • หรือปีละ 151,776 บาทเท่าเดิม

  • แต่เงินต้นเราเหลือแค่ 1,926,794 บาท

  • เพราะฉะนั้นเราก็จ่ายดอกเบี้ยแค่ 56,499 บาท (💢 ลดลงจาก 89,142 ในปีแรก!!) 

  • เอาไปลดเงินต้น 95,277 บาท (💢 เพิ่มขึ้นจาก 62,634 ในปีแรก!!)

  • ทำให้เงินต้นในปีนั้นเหลือ 1,831,517 บาทค่ะ




และสิ่งที่ธนาคารไม่เคยบอกคุณ คือ ถ้าคุณจ่ายเกินจากที่เค้ากำหนดมา แค่นิดเดียว เงินทุกบาทที่จ่ายเกินมาจะเอาไปลดเงินต้นทั้งหมด ซึ่งก็จะทำให้ดอกเบี้ยในเดือนต่อๆ มาลดลง และเงินต้นที่เราเป็นหนี้อยู่จะลดลงเร็วมากกกก 💢 keyword อยู่ที่คำว่า แค่นิดเดียว แต่ทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ตัวเลขของเราจะเปลี่ยนไปแบบนี้เลยค่ะ



ในกรณีเดิมแต่เราจ่ายเพิ่มเดือนละ 1,000 บาท หนี้คุณจะหมดเร็วขึ้นถึง 3 ปี 4 เดือน


และถ้าคุณสามารถผ่อนเพิ่มได้เดือนละ 2,000 บาท คุณจะสามารถประหยัดเวลาไปได้ถึง 6 ปี!!



แล้วถ้าเดือนละ 3,000 บาทล่ะ??? หนี้คุณจะหมดเร็วขึ้นถึง 8 ปี 2 เดือนเลยนะ!!!



จ่ายเพิ่มเดือนละ 3,000 บาท ได้เกษียณเร็วขึ้น 8 ปี คุณว่าคุ้มมั้ย??? 


ถ้าคุณอยากคำนวณสถานการณ์ของตัวเอง หนี้จริง ดอกเบี้ยจริง ระยะเวลาที่เหลือจริง ๆ และเงินที่จ่ายเพิ่มจริง ๆ ลองเล่นดูจากเวบนี้ก็ได้ค่ะ (อันนี้เป็นธนาคารที่ออสเตรเลีย แต่ด้วยหลักการของสินเชื่อกับดอกเบี้ยทบต้นแล้ว ผลที่ได้จะไม่ต่างจากที่ไทยค่ะ)


https://www.ing.com.au/home-loans/calculators/extra-loan-repayments.html


ถ้าคุณอยากฟังเป็นคลิปที่มีรายละเอียดเรื่องดอกเบี้ยทบต้นมากขึ้น ทาร่าเคยพูดในคลิปไว้ในลิงก์นี้ค่ะ


https://youtu.be/1p3UbZBcalE


💢 แต่ถ้าใครไม่ถนัดตัวเลข ไม่อยากเข้าใจอะไรทำนั้น แค่บอกมาว่าทำยังไงถึงจะจ่ายหนี้ได้เร็วขึ้น จะได้เกษียณไวๆ 👉 คุณแค่จ่ายเกินจากที่ธนาคารกำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง มีน้อย โปะน้อย มีมาก โปะมาก แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ!!!


สูตรนี้ไม่มีคำว่าสายเกินไปนะคะ ไม่ว่าตอนนี้คุณจะผ่อนมากี่ปีแล้วก็ตาม คุณยังสามารถเริ่ม “จ่ายเกิน” ได้เสมอ รีบๆ ผ่อนให้หมด เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่อิสระมากขึ้น (อย่างน้อยก็ไม่ต้องกับวลเรื่องบ้านแล้วหนึ่ง) และได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการจริงๆ กันนะคะ 


(อ่อ! หรือถ้าจะให้แน่ใจ ลองเช็คกับธนาคารของคุณนิดนึงก่อนก็ดีค่ะ เพราะข้อมูลของทาร่ามาจากธนาคารที่ออสเตรเลียซึ่งใช้หลักการเดียวกันหมด)


Credit : Unsplash


ทาร่าก็เป็นคนนึงที่ใฝ่ฝันที่จะมีชีวิตที่อิสระและออกแบบชีวิตได้เอง ทาร่าพยายามศึกษา หาเครื่องมือ ทางลัด ตัวช่วยหลายอย่าง เพื่อที่จะมีชีวิตแบบนั้น และหนึ่งในเครื่องมือที่ทาร่ารักมากๆ คือ คือ Vision Board ค่ะ ทาร่าเขียนเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดในหนังสือเล่มนี้แล้วค่ะ 


 📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางอื่นๆ ในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

Line: @tarathow










15 มีนาคม 2565

เธอรักฉันภาษาอะไร มาเข้าใจความรักกัน

คุณเคยแสดงออกซึ่งความรักให้ใครซักคนแล้วรู้สึกว่าเค้าไม่เห็นค่ารึเปล่าคะ?? เช่น อุตส่าห์จัดเซอร์ไพรซ์ซะอย่างดิบดี แทนที่คนรักจะซาบซึ้งน้ำตาไหล แต่กลับโดนดุว่า “ทำทำไมให้สิ้นเปลือง??” เอ้ยย!!!


หรือทุกครั้งที่ถามว่ารักมั้ย เค้าก็จะพยายามตอบแบบเลี่ยงๆ หรือพูดออกมาเหมือนโดนบังคับ เท่านั้นยังไม่พอ เวลาเราบอกรักเค้า เค้ากลับแสดงอาการขนลุก ขนพอง เหมือนไม่ชินกับคำพูดหวานๆ (เลี่ยนๆ) แบบนี้ซักเท่าไหร่



มันเกิดอะไรขึ้น?? หรือเค้าไม่ได้รักเรา เราไม่ได้รักเค้า พวกเราไม่ได้รักกัน??



หรือเป็นไปได้มั้ยว่า…….. เราแค่กำลังบอกรักกัน ‘คนละภาษา’ อยู่???



เรื่องนี้ Shane Forzard โค้ชด้านพัฒนาตัวเองและพัฒนาความสัมพันธ์ที่ออสเตรเลีย ได้เคยสอนไว้ในคลาสที่ชื่อว่า Success Intimacy และเขาได้อธิบายไว้ว่า… ตามธรรมชาติแล้ว คนเราสามารถแสดงออก (และรับ) ความรักได้ถึง 5 ภาษาด้วยกัน บางคนอาจจะเซนซิทีฟกับ ‘ภาษานึง’ มากกว่าอีก ‘ภาษานึง’ แค่ได้รับนิดๆ หน่อยๆ ก็ใจฟูไปถึงดาวอังคารแล้ว แต่ถ้าได้รับหน่วยความรักมาเป็น ‘ภาษาอื่น’ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายนึงพยายามส่งออกมามากมาย แต่เมื่อสัญญาณรับไม่ตรงกันแล้ว… อีกฝ่ายนึงก็ไม่สามารถได้ยินได้



Credit : Pixabay


แล้ว 5 ‘ภาษารัก’ ที่ว่ามีอะไรบ้าง???


💗 ภาษาที่ 1 คือ การให้ของขวัญ บางบ้านเรียก ‘สายเปย์’ ถ้าเมื่อไหร่เราให้ของขวัญ ซื้อดอกไม้ ช็อคโกแลต ขนมหวาน ใส่ใจในของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เค้าจะรู้สึกซาบซึ้ง เพราะว่ามันแสดงออกถึงความใส่ใจ ถึงแม้จะไม่ใช่สินค้าราคาแพง แต่เค้าจะรู้ว่าเรารักมาก


💗 ภาษาที่ 2 คือ การบริการ เช่น การใส่รองเท้าให้ จะขึ้นรถก็เปิดประตู อยู่บ้านก็ช่วยล้างจาน

ช่วยดูแลลูก ซักผ้า ทำกับข้าว เตรียมเสื้อผ้าทำงานให้กัน อีกฝ่ายจะรู้สึกซาบซึ้ง อบอุ่น น่ารักจังเลย เธอช่างใส่ใจฉัน


💗 ภาษาที่ 3 คือการสัมผัส ทั้งการกอด จูบ จับมือ โอบจับ ลูบไล้ รวมไปถึงการอะไรๆ กันด้วย บางคนก็ถนัดที่จะแสดงออกซึ่งความรักด้วยวิธีนี้ และบางคนก็รู้สึก ‘รัก’ เมื่อได้รับการสัมผัสที่อบอุ่นด้วยเหมือนกัน (ที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่ภาษาสากล และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีภาษารักแบบนี้เป็นภาษาหลัก)


💗 ภาษาที่ 4 คือ คำพูด บางคนก็ชอบฟังคำหวาน ชอบผู้ชายปากหวาน ชอบผู้หญิงขี้อ้อน แค่ได้ยินก็ใจฟูแล้ว ทั้งการชมแบบอ้อมๆ เช่น วันนี้เธอสวยจังเลย ใส่เสื้อใหม่แล้วดูดีมากๆ ลิปสีแดงสวยมาก เข้ากับเธอมาก รวมถึงการบอกรักแบบตรงๆ เช่น ฉันรักเธอจังเลย ฉันโชคดีที่มีเธอในชีวิต 


💗 ภาษาที่ 5 การใช้เวลาร่วมกัน คนที่มี ‘ภาษารัก’ แบบนี้จะมีความสุขมากถ้าได้ใช้เวลาร่วมกัน อาจจะแค่นั่งด้วยกันเฉยๆ หรือนั่งอ่านหนังสือใกล้ๆ กัน นั่งเล่นเกมใกล้ๆ กัน หรือการกินข้าวด้วยกัน ได้ทำกับข้าวด้วยกัน แค่นี้ก็รู้สึก ‘รัก‘ มากแล้ว



                                                                                              Credit : Pixabay


💔 และปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ระหว่างคู่รัก คือ การที่เรามี ‘ภาษารัก’ ที่ต่างกัน และเราก็พยายาม “บอกรัก” ในแบบของเรา แต่อีกฝ่ายนึงกลับ “ไม่ได้ยิน” หรือเรา “อยากได้ยิน” ภาษารักในแบบของเรา แต่อีกฝ่ายก็ “ไม่ยอมบอก” ในแบบที่เราต้องการซักที 



เช่น ผู้ชายชอบใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แค่ได้กินข้าวด้วยกันทุกวันก็มีความสุขมากแล้ว ส่วนผู้หญิงกลับชอบสายเปย์ อยากได้การเอาอกเอาใจ ซื้อของขวัญมาเซอร์ไพรซ์



พอมาอยู่ด้วยกัน ผู้ชายก็รำคาญไปสิ ผู้หญิงซื้ออะไรให้ก็ไม่รู้สึกดีใจ แถมยังไม่เคยซื้ออะไรให้เธออีกต่างหาก ทำไมต้องทำความรักให้เป็นเรื่องวุ่นวายด้วย แค่เราได้กินข้าวด้วยกันทุกวันนี่ก็มีความสุขแล้ว (เหรอ???) // ส่วนผู้หญิงก็น้อยใจไปสิ ซื้ออะไรให้ก็ไม่เคยถูกใจ ไม่เคยใช้ แถมยังไม่เคยมีเซอร์ไพรซ์อะไรให้เธอเลย แล้วจะตัวติดอะไรกันนักหนา ห่างกันบ้างก็ได้มั้ย?? // กลายเป็นว่า… ต่างคนต่างรัก แต่มีวิธีแสดงออกที่ไม่ต่างกัน สุดท้ายแล้ว ‘ความรัก’ ก็ตกหล่นอยู่ตรงกลางระหว่างการสื่อสารอย่างน่าเสียดาย



หลังจากทาร่าได้ยินเรื่องนี้ ทาร่าก็นำมาปรับใช้กับคู่ของตัวเอง สังเกตุว่าภาษารักของสามีทาร่าคือการบริการ เพราะฉะนั้น เค้าก็จะแสดงออกด้วยการช่วยทำงานบ้าน ช่วยเลี้ยงลูก ทำอาหารให้… นี่คือวิธีการแสดงออกถึงความรักที่ครอบครัวเค้าทำกันมา พ่อแม่เค้าก็รักกันแบบนี้แหละ ส่วนเรื่องจะให้มาบอกรัก พูดจาหวานๆ หรือซื้อของขวัญให้กันนี่เหมือนไม่ได้อยู่ในพจนานุกรม “ความรัก” ของเค้าเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นทาร่าก็ต้องปรับตัว ทั้งไม่คาดหวัง และไม่บอกรักเค้าด้วย ‘ภาษานี้’ ให้สิ้นเปลืองพลังงานและกำลังใจด้วย เมื่อไหร่ที่อยากจะบอกรักเค้าก็นวดให้ ช่วยงานบ้าน ทำอาหารให้กิน แบบนี้เค้าจะรู้สึกซาบซึ้งมาก



(หลังจากบอกรักด้วย ‘ภาษาของเค้า’ ให้เค้าได้ยินแล้ว หลังจากนั้นอยากได้อะไรก็ง่ายแล้วค่ะ 😝)




ทาร่าหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างนะคะ ลองนำไปปรับใช้ดู แล้วคุณอาจจะค้นพบว่า จริงๆ แล้ว เรารักกันแหละ แค่เรามีวิธีแสดงออกที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง 🥰



นอกจากเรื่องภาษารักทั้ง 5 แล้ว ทาร่ายังมีอีกเครื่องมือที่ช่วยเนรมิตร ‘ความรักในฝัน’ ให้ได้ เพียงแค่หารูปของ ‘ความรักในฝัน’ มาแปะไว้ในที่ที่สามารถมองเห็นได้ทุกวัน และปิ๊ง 


Credit: Pixabay

🌟 จักรวาลจะจัดสรรให้คุณเอง แต่คุณต้องชัดเจนก่อนนะว่า ‘ความรักในฝัน’ ที่อยากได้นั้นมีหน้าตายังไง เรื่องนี้ทาร่าได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้วค่ะ อ่านง่าย จบได้ภายใน 2 ชั่วโมง และที่สำคัญ… ได้ผล 1000% ใครที่อยากมีชีวิตในฝัน ความรักในฝัน คนรักในฝัน ลองเอาไปทำกันดูนะคะ



📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

Line: @tarathow