30 พฤศจิกายน 2564

เมื่อไหร่ที่ล้า “ช็อกโกแลต” เยียวยาคุณได้ เชื่อสิ!

 เคยมั้ยที่ตื่นตอนเช้าแล้วคิดว่าเกิดอะไรกับชีวิตเนี่ย อะไรๆ ก็ดูขัดใจไปหมด ลูกงี่เง่า แฟนไม่ดี เรียนยาก ลูกน้องขี้เกียจ เจ้านายขี้บ่น บลาๆ แต่ อย่าคิดงั้นเลย ให้คุณลองคิดสงบจิต สงบอารมณ์ แล้วอ่านเรื่องนี่ดู


ขนาด Tony Robins กูรูอันดับ 1 ด้านการพัฒนาตัวเองชาวอเมริกัน ยังเคยแซวตัวเองบนเวทีไลฟ์สดเลยว่า บางครั้งเฮียแกก็เป็นเหมือนกัน 


ด้วยความที่เฮียแกเป็นคนมีระเบียบวินัย ใช้ชีวิตแบบเป๊ะเวอร์ ตื่นเช้ามาต้องดื่มน้ำเขียว (สารสกัดจากพืชสีเขียวนานาชนิดของแก) กำลังกาย นั่งสมาธิ เรียกว่าใช้ชีวิตแบบมีวินัยแบบสุดๆ 





แต่มีวันหนึ่งเฮียแกหงุดหงิดมากๆ จนต้องเรียกพนักงานทุกคน ทุกแผนกในบริษัท มานั่งประชุม แล้วก็เริ่มฟาดงวง ฟาดงา แบบ เฮ้ย!! มันไม่โอเค ไม่มีอะไรโอเคเลยซักอย่าง ทุกคนทำงานอะไรแบบนี่เนี่ย 


จนมีพนักงานคนนึงที่สนิทกันทักมาว่า


“เฮ้ บอส ยูกินช็อกโกแลตนี่สักหน่อยไหม” 


เฮียแกก็ยิ้มแล้วบอกว่า


“ซักหน่อยก็ดีเนอะ” 


แล้วทุกอย่างตรงหน้าก็ดีขึ้นทันทีแบบไม่น่าเชื่อเลยค่ะคุณขา


ณ จุดนี้นี้คุณขาอาจงงว่า เฮ้ย!! ช็อกโกแลต มันช่วยแก้ปัญหาของ Tony Robins ยังไง คือปัญหามันก็อยู่ที่เดิม (มั้ย) หรือกินช็อกโกแลต แล้วปัญหามันหายไป (จริงดิ) 



เดี๋ยวทาร่าจะกลับมาเฉลยให้อ่านกันนะคะ แต่ระหว่างนี้...


มาลองอ่านเรื่องนี้อีกเรื่องก่อนดีกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากหนังสือ Big Ideas for Curious Minds: An Introduction to Philosophy หนังสือปรัชญาสำหรับเด็กที่ดีมากๆ เล่มนึงเลย ในบทที่ชื่อว่า “ หรือจริงๆ แล้วคุณแค่เหนื่อย? ”


ผู้เขียนบอกให้เราลองคิดภาพว่าเรากำลังวิ่งขึ้นภูเขาอยู่ 


ในตอนแรกที่เราตื่นมาแบบสดใส วิ่งไปแล้วก็มองไปข้างหน้าเห็นภูเขาสูง แหม มันช่างน่าสนุกจังเลย ถนนก็สวย วิวข้างทางก็ดี ต้นไม้นี่ต้นใหญ่ร่มรื่น นกร้องจิ๊บๆ น่ารักน่าเอ็นดู เอ้า! พร้อมลุย ร่างกายตอนนี้ฟิตเฟ่อ เพราะเมื่อคืนนอนหลับเพียงพอ ข้าวเช้าก็กินแบบอิ่มอร่อย




ตอนที่เราเริ่มวิ่งแรกๆ เราก็วิ่งได้เร็ว วิ่งได้ไกล วิ่งไปสวยๆ สไตล์นางงามผู้รักสุขภาพและไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไร 


ผ่านไป 1 กิโลเมตร ยังชิลอยู่ 


3 กิโลเมตร ผ่านไปยังโอเค 


5 กิโลเมตร ผ่านไปเริ่มหอบเบาๆ 


ที่นี่ล่ะ 10 กิโลเมตรผ่านไป แล้วเรายังต้องวิ่งขึ้นเขาอยู่ ขาก็เริ่มไม่ไหว ร่างกายก็เริ่มเหนื่อย ทั้งหิวน้ำ ทั้งหิวข้าว ใจเริ่มท้อ จิตละเอียดอยากจะออกจากร่าง ส่วนกายหยาบนั้นพังไปตั้งแต่กิโลเมตรที่ 8 โน่นนน


ส่วนภูเขาลูกเดิมน่ะเหรอ จากที่เคยสนุกก็กลายเป็น “สนุกพ่องสิ” ถนนสวยก็กลายเป็น “สวยไปหมดอ่ะดิ” ต้นไม้ใหญ่ “ช่างหัวมัน” ไปก่อน ส่วนเสียงนกร้องจิ๊บๆ ที่เคยมองว่าน่ารักน่าเอ็นดู นาทีนี้รู้สึกว่าพวกมัน “กวนตีน น่าจับไปทอด” ซะเหลือเกิน




สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่ภูเขาแต่เป็นตัวเรานี่แหละ


ณ จุดนี้ เราต้องยอมรับก่อนว่าเป็นตัวเราเองที่เปลี่ยนไป เราไม่เหมือนเดิม เราคือคนธรรมดาที่ผ่านการวิ่งขึ้นภูเขามาแล้ว 10 กิโลเมตร !!


เพราะฉะนั้นก็อย่าแปลกใจเลย ถ้าความรู้สึกที่เรามีต่อภูเขา ความรู้สึกที่เรามีต่อปัญหาตรงหน้าจะเปลี่ยนไป จะไม่เหมือนเดิม (แต่มันเหมือนกัน คุณเข้าใจไหม!!)



ในวันที่คุณรู้สึกว่าชีวิตมันแย่ ปัญหาตรงหน้ามันใหญ่ ชีวิตมันเหนื่อยล้า เราไม่สามารถวิ่งต่อไปได้แล้ว เคยถามตัวเองไหมว่า เป็นไปได้ไหมที่จริงๆ แล้วปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ภูเขา 


ภูเขามันก็อยู่ของมันตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เราออกมากิโลเมตรแรกเลย มันก็ชันเท่านี้ ไกลเท่านี้นี่แหละ เราวิ่งมาแล้ว 10 กิโลเมตร ภูเขามันก็ยังเป็นเขาลูกเดิม เขาไม่ได้เปลี่ยนไป เขาโดนใส่ร้าย 


จริงๆแล้วสิ่งที่เปลี่ยนไป สิ่งที่มันอ่อนล้า อ่อนแรงลง ก็ คือ ตัว เรา เอง นี่แหละ


..

..

กลับมาที่เรื่องของ Tony Robins กันต่อ


หลังจากที่เฮียแกได้กินช็อกโกแลตแล้วก็อารมณ์ดีขึ้น วินาทีนั้นเองที่ทำให้เฮียแกคิดได้ว่า ที่จริงแล้วเฮียแกน่าจะ “แค่เหนื่อย” “หรือไม่ก็หิว” จนหงุดหงิดกับทุกอย่างรอบตัวไปเอง “ขอโทษด้วย”


อ๋อยยย เจอมุกนี้เข้าไป ไม่รู้จะสงสารลูกน้องหรือลูกพี่ดี



ส่วนคุณขา ถ้าคุณกำลังรู้สึกว่าชีวิตตัวเองกำลังคิดบวก เจอใครก็อยากจะเข้าไปบวกซะทุกคน ช้าก่อน!! ก่อนที่จะไปบวกกับใคร ทาร่าอยากให้คุณลองใช้เวลากับตัวเองสักนิดนึงก่อน ลองอยู่กับตัวเองสักหน่อย แล้วลองถามตัวเองดูดีๆว่า ตกลงปัญหามันมาจากคนอื่นจริงๆ ไม่ได้มาจากตัวเราที่ “นอนน้อย” หรือ “กินน้อย” แล้วก็นอยด์ไปเองใช่มั้ย 


ถ้าไม่แน่ใจ จะลองกินช็อกโกแลตซักแท่งนึงก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที ก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวนะคะ




🌼🌻🌼🌻🌼🌻

ขอบคุณรูปภาพ : Facebook : Tony Robbins , pixabay


ขอฝากผลงานอีกอย่างของทาร่าไว้ด้วยนะคะ ใครอยากตั้งเป้าหมายแบบจับต้องได้ และทำได้จริง เล่มนี้ดีมากๆเลยค่ะ


📙📙📙


หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow
แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl
E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0
E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

ติดตามทาร่าได้ที่:

Youtube: tarathow


3 ขั้นตอนง่ายๆ สะกดจิตให้ทุกเรื่องได้ “ดั่งใจ”

  3 ขั้นตอนง่ายๆ สะกดจิตให้ทุกเรื่องได้ “ดั่งใจ” 


คุณอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ไหม อยากรวยมีเงินเข้ากระเป๋าทุกวันไหม หรือถ้ารวยอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร คุณอยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างไหม อยากมีสุขภาพที่ดีขึ้นกว่านี้ไหม 



เมื่อไม่นานมานี้ ทาร่าได้อีเมลจาก Natalie Ledwell ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท Mindmovies บริษัทเกี่ยวกับการผลิตสื่อ ไฟล์เสียง คลิปวิดีโอ เกี่ยวกับการสะกดจิตตัวเอง ที่คุณสามารถเลือก Script ได้ว่า คุณอยากสะกดจิตตัวเองให้นอนหลับ สะกดจิตตัวเองให้ผอม สะกดจิตตัวเองให้ร่าเริง หรือ คุณอยากสะกดจิตให้เป็นคนกล้าหาญ มีหลายแพ็คเก็จให้เลือก ราคาตั้งแต่ $49 (1,600 บาท) จนถึง $499 (16,600 บาท)



แต่ในอีเมลที่ทาร่าได้รับเค้ากลับบอกไว้ว่า จริงๆแล้ว เราไม่จำเป็นต้องซื้อคลิปสำเร็จรูปจากเค้าก็ได้ เพราะเรา ( ใช่ค่ะ เราทุกคน ) สามารถที่จะสะกดจิตตัวเองได้ง่ายๆ ภายใน 3 ขั้นตอนดังต่อไปนี้ 



  1. รู้ก่อนว่าอยากได้อะไร 



ก่อนอื่นให้เราคิดตกตะกอน คุยกับตัวเองให้เคลียร์ๆ ก่อนว่าสิ่งที่เราอยากได้ อยากมี อยากเป็น ในชีวิตจริงๆ มันคืออะไรกันแน่ ในขั้นตอนนี้คือให้เลือกมาแค่ 1 ข้อ เช่น เราอยากรวย อยากมีอิสรภาพทางการเงิน ตรงนี้เราต้องมองเห็นภาพให้ออกก่อนว่า ไอ้เจ้าอิสรภาพทางการเงินมันหน้าตาเป็นยังไง เราต้องมีรายได้จากสินทรัพย์ต่างๆ ปีละเท่าไหร่ แล้วมันจะเข้ามาทางไหน เงินจากการค่าเช่า ค่าลิขสิทธิ หรือเงินปันผลหุ้น



และพยายามเรียบเรียงออกมาเป็นประโยคที่เราฟังแล้วรู้สึก “เข้าหู” มากที่สุด เช่น


“ฉันสามารถหาเงินได้อย่างง่ายดาย”


“ฉันเห็นอะไรก็สามารถทำเงินได้ หาช่องทางทำเงินได้” 


“ฉันสามารถมีเงินใช้จ่ายได้อย่างเหลือเฟือ” 


“ฉันสามารถดึงศักยภาพในตัวเองเพื่อเอาออกมาทำเงินได้อย่างเต็มความสามารถ”




  1. หาที่นั่งให้สบาย มองอย่างตั้งใจในจุด ๆ เดียว


หาเก้าอี้สบายๆ และเลือกจุดที่โล่งๆ ในบ้าน เช่น แอร์ โต๊ะคอม หรือผนังโล่งๆ แล้วมองแบบตั้งใจ มองจนรู้สึกหนังตาหนักๆ มองจนรู้สึกมึนๆ เบลอๆ แล้วตอนนั้นให้เราเริ่มพูดประโยคที่เราเตรียมไว้ในข้อแรกออกมา พูดซ้ำๆในตอนที่เรากำลังรู้สึกเบลอๆนี่แหละ ระหว่างนี้ตาเรายังโฟกัสไปที่จุดเดิมอยู่ 



  1. กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ


หลังจากที่เราพูดพูดย้ำๆ ในสิ่งที่เราต้องการเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นอันจบปิ๊ง ขอเชิญกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ ขอแสดงความยินดีด้วยเราได้สะกดจิตตัวเองได้สำเร็จแล้ว เย้ เย้ 



และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์มากที่สุด เราควรจะทำทุกวันติดกันเป็นเวลา 21 วัน






คำเตือน: ห้ามใส่สิ่งที่เราไม่อยากได้ตอนสะกดจิต 


ข้อนี้สำคัญคือเราห้ามใส่ผลลัพธ์ที่เราไม่ต้องการลงไประหว่างการสะกดจิต เช่น ฉันไม่อยากจน ไม่อยากมีคุณภาพชีวิตห่วยๆ แบบนี้ คือห้ามนะ ห้ามพูดแบบนี้ ให้พูดเฉพาะผลลัพธ์ที่เราอยากได้เท่านั้น



นี่เป็นวิธีง่ายๆ ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที ที่คุณเองก็สามารถลองได้ ไม่เสียหาย ไม่เสียเงิน แล้วคุณจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง ว่าเราจะเป็นในสิ่งที่เราได้สะกดจิตตัวเองไปจริงๆ



ถ้าใครลองทำดูแล้วได้ผลยังไง รู้สึกยังไง ลองเอาผลลัพธ์ที่ได้มาแชร์กันให้ทาร่าฟังบ้างนะคะ



🌼🌻🌼🌻🌼🌻

ขอบคุณรูปภาพ : pixabay


ขอฝากผลงานอีกอย่างของทาร่าไว้ด้วยนะคะ ใครอยากตั้งเป้าหมายแบบจับต้องได้ และทำได้จริง เล่มนี้ดีมากๆเลยค่ะ


📙📙📙


หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow
แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl
E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0
E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

ติดตามทาร่าได้ที่:

Youtube: tarathow





วิธีฝึกของ “ยอดมนุษย์หญิง” เรื่องจริงจากออสเตรเลีย

คุณเชื่อไหมคะว่าเราทุกคนเกิดมาพร้อมกับ “พลัง” อะไรบางอย่าง ที่สามารถเปลี่ยนให้คนทำธรรมดากลายเป็นยอดมนุษย์แบบในหนังซุปเปอร์ฮีโร่ได้ 

 

ทาร่ามีเพื่อนในเฟสบุ๊คคนนึงอยู่ที่ออสเตรเลียเหมือนทาร่านี่แหละ เธอเป็นผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ ที่มีความฝันที่จะเป็น “เชฟทหาร” ที่นี่ให้ได้



เธอเล่าว่า “ครอบครัวเธอไม่เคยมีใครเป็นทหารเลย เธอก็เลยคิดอยากจะเป็นทหารคนแรกของครอบครัวขึ้นมา เพราะรู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่มีเกียรติ แล้วมันก็เท่ดี”



แต่



ทหารที่ออสเตรเลีย ก็ไม่ได้ว่าจับฉลากแล้วเป็นกันได้ง่ายๆหรอก ต้องผ่านการทดสอบทั้งร่างกาย ทั้งจิตใจ สอบแล้ว สอบอีก สอบแล้ว สอบอีก วนไปเลยจ้าาาาา




ต่อให้ป่วยก็ต้อง บ่ยั่น 


ใช่ค่ะ บ่ยั่น คือเธอต้องเป็นคนที่มุ่งมั่น พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคทุกชนิดอยู่ตลอดเวลา 



ถ้ายกเวทจนข้อมือบาดเจ็บเหรอ?? เอาสก็อตเทปพันๆ แล้วยกต่อไป แถมเพิ่มน้ำหนักด้วยจ้าา



วิ่งจนข้อเท้าบาดเจ็บ เข่าเจ็บเหรอ?? เอาผ้าพันๆ ฉีดสเปรย์นิดหน่อย แล้วไปต่อเลยเหมือนเดิมจ้าา



จะฝนตก แดดออก พายุเข้า ก็ต้องวิ่งตามตารางทุกวัน ห้ามตกทั้งระยะทางและเวลา 



ต่อให้วิ่งจนไม่รู้สึกขาตัวเองแล้วก็ยังต้องวิ่งต่อไปเธอว่าอย่างนั้น




มีครั้งนึงที่เธอต้องเข้าผ่าตัด และหมอสั่งให้พัก 1 อาทิตย์ แต่เธอพักแค่ 3 วัน หลังจากนั้น ลุกค่ะ เอาผ้าพันแน่นๆ แปะสก็อตเทปเข้าไป ไม่ให้แผลขยับ แล้วก็ลุกไปวิ่ง ยกน้ำหนัก ตามปกติ ทำยังไงก็ได้ให้ร่างกายยังแข็งแรงเหมือนเดิม 



“มันเจ็บจนเลยจุดเจ็บ รู้แต่ว่าต้องทำให้ได้” 



สอบผ่านแล้วก็ใช่ว่าจะได้เริ่มงานเลย ยังต้องไปฝึกต่ออีกจ้าาา และอีขั้นตอนการฝึกที่แหละที่ทำให้เธอเข้าใจว่าทำไมทหารถึงต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เพราะทหารคือด่านหน้าของประเทศ ทหารคือกองกำลังที่จะออกไปสู้รบเพื่อให้ประชาชนในประเทศปลอดภัย



“เราต้องมีร่างกายที่แข็งแรงมากพอ ที่จะแบกกระเป๋าสัมภาระของตัวเองที่หนัก 35 กิโล พร้อมกับอาวุธปืน Rifle F88 หนัก 3 กิโล และกระเป๋า webbing ที่มาพร้อมกับกระสุนเต็มสูบกับน้ำ 2 ขวดอีก 8 กิโล รวมๆคือเราต้องแบกน้ำหนัก 40 กิโลได้ด้วยตัวเองตลอดการเดินทาง


 


สิ่งสำคัญที่ห้ามเอาออกจากร่างกายในระหว่างการฝึก ตลอดระยะเวลา 2 คืน 3 วัน คือปืนและกระเป๋า webbing ต้องสวมอยู่กับตัวตลอด ยกเว้นเข้าห้องน้ำและนอน ( แต่ห้ามวางปืนห่างร่างกายเกิน 1 เมตร ) นั่นหมายถึงจะถ่ายหนัก ถ่ายเบา ก็ต้องเอาปืนติดตัวไปด้วยตลอด


แม้กระทั่งตอนฝึกกรอกกระสอบทรายเพื่อสร้างกำบังก็เหมือนกัน ในทุกๆ กิจกรรมต้องมี webbing และแขวนปืนติดหลังตลอด นั่นหมายความว่าเราต้องแบกกระสอบทราย พร้อมๆกับกระเป๋า webbing และปืนตลอดเวลาด้วยเหมือนกัน”


สภาพร่างกายก็สตรองกันไปเบาๆ ประมาณนั้น ส่วนสภาพจิตใจนั้นบอกเลยว่าต้องแน่นิ่งดั่งขุนเขา บางเบาเท่าขนนก

 



“ ถ้าในห้องเงียบ ต่อให้อยากไอ อยากจาม อยากฉี่ อยากขี้ ก็ต้องกลั้นไว้ ” 

 

หูยยยย… แค่ฟังแล้วก็จะเป็นลมแทน ทาร่ามีโอกาสเจอเธอเลยได้พูดคุยกัน


“เชฟ ทำไมเราต้องทรมานตัวเองอะไรเบอร์นี้ ตอนผ่าตัดเสร็จหมอบอกให้พักก็ต้องพักมั้ย ทำไมเราต้องฝืนตัวเองอะไรขนาดนั้น” 



เธออธิบายว่า ถึงแม้ว่าเธอจะมีหน้าที่ทำอาหาร แต่เธอก็ต้องเป็นทหารด้วย ยูนิฟอร์มที่เธอใส่ก็เป็นยูนิฟอร์มทหาร แล้วถ้าเธอจำเป็นต้องไปรบ ข้าศึกเค้าไม่ได้สนใจหรอกว่าเธอมารบหรือมาทำอาหาร เธอและเชฟทุกคนในกองต้องเตรียมพร้อมเหมือนทหารคนอื่นๆ ทุกคน






ทาร่าผู้ซึ่งอ่านเฝ้าสังเกตการณ์และเห็นการเปลี่ยนแปลงของเชฟทหารผู้นี้มาโดยตลอด ก็รู้สึกว่า เฮ้ย!! ความเจ็บปวดทางร่างกาย และจิตใจ ไม่สามารถทำอะไรผู้หญิงคนนี้ได้ เหมือนเชฟได้เปลี่ยนตัวเองจากคนธรรมดาเป็น “ยอดมนุษย์” ไปแล้วอ่ะคุณขา



ถ้าใครเคยดูหนังยอดมนุษย์ เราจะได้เจอพล็อตเดิมบ่อยๆ คือ “ผู้อยู่เหนือธรรมชาติ” ได้มอบพลังพิเศษให้ใครซักคนและเปลี่ยนคนผู้นั้นให้กลายเป็น “ยอดมนุษย์” ที่มีพลังพิเศษเหนือกว่าคนธรรมดา สามารถทะลุมิติ มีเครื่องมือทำให้ชนะปิศาจร้ายได้ 






ในชีวิตจริง ไม่มีคนธรรมดาที่มีพลังพิเศษแบบนั้น แต่ทุกคนมีพลังธรรมดาที่โคตรพิเศษ ที่หากนำมาใช้อย่างจริงจังแล้ว เราทุกคนก็สามารถกลายเป็น “ยอดมนุษย์” ในแบบที่ตัวเราอยากเป็นได้ 



และพลังธรรมดาที่โคตรพิเศษนั่นก็คือ “วินัย” นั่นเอง 



ทำในสิ่งที่เราต้องทำโดยไม่มีข้อแม้ ไม่ปล่อยให้อุปสรรคอะไรหรือใครหน้าไหนมาทำลายวินัยของเราได้ 



ลองดูนะคะ แล้วคุณจะค้นพบว่า… เราเองก็สามารถเป็น “ยอดมนุษย์” ได้เหมือนกัน



..

..

..














เป็นทหารให้อะไรกับเรามาก

ให้ความอดทน ที่คิดว่าทนเกินขีดจำกัดของตัวเอง

ให้เราความเคารพผู้อื่น ไม่ว่าจะอายุ เพศ เชื้อชาติ

ทหารไม่ได้ดีกว่าประชาชน แต่ทหารต้องรับใช้ประชาชน

การเป็นทหาร คือเราต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย 2 ระบบ คือ ถ้าเราทำผิด เราจะถูกลงโทษด้วยกฎหมายประชาชน และกฎหมายทหาร

นั่นหมายความว่าเราจะถูกลงโทษ 2ต่อ

 

และเราอยากบอกผู้หญิงไทยทุกคนว่า

 

เราสามารถทำได้มากกว่าที่เราคิด ถ้าเราตั้งใจมากพอ และอดทนมากพอ ขีดจำกัดความสามารถของเราไม่มีขีดจำกัด ขอให้ตั้งใจจริง สู้จริง ทุกคนทำได้แน่นอน 😇😇😇

 

Aircrafts women - Jeeraprapanont 👩🏻‍✈️

 

🌼🌻🌼🌻🌼🌻





สนับสนุนทาร่าได้ที่
หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl
E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0
E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj


❤️🧡💛💚💙

ติดตามทาร่าได้ที่:
 
IG: tarathow
Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow
Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow
ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow