30 เมษายน 2565

ถ้าความร่ำรวยไม่ได้มีหน่วยเป็นบาท.. แล้วความรวยมีหน่วยเป็นอะไร

ทุกคนเคยคิดไหมคะ ถ้าตัดเรื่องรายได้ออกไป คุณอยากทำอาชีพอะไร?? อยากเป็นหมอ พยาบาล กระเป๋ารถเมล์ ช่างตัดผม ครู คนขายดอกไม้ ผู้จัดการดารา แม่ค้าขายกล้วยทอด คนปลูกมะม่วง หรือแม่ค้าขายข้าวเหนียวมะม่วง (กำลังฮิตเลยอาชีพนี้ 😁

เอาเป็นว่าลองตอบในใจกันก่อนนะคะ แล้วมาอ่านบทความนี้ต่อ และคุณอาจจะได้ชุดความคิดใหม่ที่น่าสนใจมาก ๆ ว่าถ้าความไม่ได้มีหน่วยเงิน แล้วมันจะมีหน่วยเป็นอะไร 😎


ตอนเด็ก ๆ บางคนก็ตอบได้นะคะ แต่พอโตขึ้น สังคมที่เราอยู่มันได้หล่อหลอมให้เราต้องกลายเป็นคนที่ดูดีในสังคม ดูมีฐานะ มีความมั่นคง ผู้คนถึงจะให้การยอมรับ 


ในคอร์สออนไลน์ชื่อ Money Amplification ของ Mindmovies Switch Activation System เค้าบอกไว้ว่าการที่เราจะมั่งคั่งร่ำรวยได้ เราต้องเข้าใจก่อนว่า… ความมั่งค่ำร่ำรวยที่แท้จริงนั้นคืออะไร!! 


และเราต้องเข้าใจด้วยว่า “เงิน” เป็นแค่สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเท่านั้น ในความเป็นจริงเรา ไม่ได้อยากได้ “เงิน” แต่เราต้องการ “เงิน” เพื่อนำไปแลกกับอะไรบางอย่าง.. และอะไรบางอย่างนั่นแหละ คือความมั่งคั่งร่ำรวยที่แท้จริงที่เราควรจะใส่ใจให้มากกว่า (อย่าเพิ่งอิหยังวะกันนะคะ - เชิญอ่านต่อก่อน)


Credit : Pixabay 

ย้อนไปสมัยโบราณ เราใช้วิธีแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน แต่เมื่อเศรษฐกิจมันพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เราไม่สามารถเอาไก่ไปแลกไข่ หรือเก็บมะม่วง 10 เข่งตอนนี้ไว้กินในอีก 10 เดือนข้างหน้าได้… แล้วมะม่วงก็ดันออกลูกมาปีละครั้งอีก เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องเอามะม่วงไปเปลี่ยนเป็น “เงิน” เพื่อที่จะเก็บไว้ใช้ได้ทั้งปี (หรือจนกว่าจะถึงหน้ามะม่วงอีกครั้ง) เนิ่นนานผ่านไป ทุกคนก็เลยหันมาให้ค่า “เงิน” พยายามสะสมให้ได้มากๆ และเริ่มวัดความรวยกันด้วยตัวเลขที่อยู่ในบัญชี


ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว เราไม่ได้ต้องการตัวเลขที่อยู่ในบัญชี แต่ลึก ๆ แล้ว เราอยากได้สิ่งที่ “เงิน” สามารถซื้อหามาให้เรามากกว่า เราอยากได้บ้าน รถ การศึกษาดี ๆ ให้ลูกของเรา เราอยากได้เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ รองเท้า กระเป๋า ประสบการณ์กินหรู อยู่สบาย นั่งบอลลูนดูพระอาทิตย์ขึ้น ล่องครุ๊ซดูพระอาทิตย์ตก และในวันที่เราป่วย เราก็อยากที่จะได้รับการรักษาที่ดี 


แต่ถ้าจะให้ลึกไปกว่านั้นอีก.. สิ่งที่เราอยากได้จริง ๆ คือ “คุณค่าในชีวิต” ค่ะ เราอาจจะอยากได้ความมั่นใจ ความรู้สึกมั่นคง เราอยากรู้สึกว่าตัวเองมีค่า อยากมีผลงาน อยากเป็นที่ยอมรับของสังคม หรืออยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ “คุณค่า” พวกนี้ต่างหากคือสิ่งที่เราอยากได้อย่างแท้จริงๆ 


                                        
Credit:Pixabay 

ในคอร์สนี้เค้าก็เลยแนะนำว่า.. ทางลัดที่จะทำให้เราร่ำรวยมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็ว คือ การที่เราตั้งเป้าหมายไปที่เป้าหมายที่เราต้องการจริงๆ ถ้าอยากจะไปเชียงใหม่ก็ปักหมุดไปที่เชียงใหม่ไปเลย อย่าได้ปักไปทั่ว ทั้งสุพรรณบุรี ลพบุรี กำแพงเพชร ลำปาง ลำพูน ให้มันวุ่นวาย (เพราะสุดท้ายแล้วเราอาจจะได้ไปทั้ง 4-5 ป้ายที่ปักไว้ แต่เราอาจจะไม่ถึงเชียงใหม่ก็ได้) 


ถ้าอยากมั่งคั่งร่ำรวยจริง ๆ ก็ให้จูนกับตัวเองเลยค่ะ ว่าความรวยที่แท้จริงของเรานี่มันหน้าตาเป็นยังไง (แต่ละคนจะมีภาพความรวยไม่เหมือนกัน) แล้วก็พุ่งไปเลยค่ะ อย่าปล่อยให้ตัวเลขในบัญชีของเรามาทำให้เราหลงทาง และนี่ก็เป็นตัวอย่าง Core Value ที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเรา ถ้าเราสามารถมองผ่านเครื่องหมาย $$$ ไปได้




ทันทีที่ได้ฟังเรื่องนี้ เราหันไปถามสามี “เธอๆ ความรวยของเธอมีหน่วยเป็นอะไร??” แล้วก็ส่งรายการนี้ให้เค้าดู และนี่ก็เป็นคำตอบของนางที่เราอยากจะเอามาแชร์กับเพื่อน ๆ ด้วยค่ะ


  1. Knowledge (ความรู้) ถ้าใครรู้เยอะ คนนั้นน่ะโคตรรวย ส่วนคนที่โลกทัศน์คับแคบ เกิดมาไม่มีความรู้อะไรใด ๆ เลย ไม่ว่ายูจะมีเงินในบัญชีกี่ล้าน เขาก็ยังไม่ใช่คนรวย ว่าซั่น!!

  2. Physical (ร่างกาย) ถ้ายูสุขภาพไม่ดี ยูไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้ว ไม่ต้องเอาเงินในบัญชีมาให้ดูด้วย สำหรับฉัน ไม่ว่าจะมีเงินเท่าไหร่ ฉันก็ไม่คิดว่าเธอรวย คนที่รวยคือคนที่มีสุขภาพดี 

  3. Peace (ความสงบทางใจ) เพราะความสงบนั้นราคาแพง ใครมีได้แปลว่าคนนั้นรวย

  4. Joy (ความสนุก) คนรวยคือคนที่มีความสุข

  5. Friendship (มิตรภาพ) ถ้ายูมีเพื่อนที่จริงใจ เพื่อนที่คอยให้ความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ ยูจะแวดล้อมไปด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดี นี่แหละชีวิตคนรวยที่แท้จริง


ส่วนเราของก็จะเป็น Peace of Mind (อุ่นใจ) Success (ความสำเร็จ) Happiness (ความสุข) Freedom (อิสระที่จะไปไหนก็ได้ กินอะไรก็ได้ ทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก็ได้) Contributor (ถ้าเราเห็นคนที่เดือดร้อนแล้วสามารถช่วยได้โดยที่ไม่รู้สึกเสียดาย - โมเม้นต์นั้นแหละ รู้สึกว่าตัวเองโคตรรวยเลย 😎)


แล้วความรวยของคุณล่ะคะ?? มีหน่วยเป็นอะไร และชีวิตแบบไหนที่เรียกว่ารวย 😇


🌈🌈🌈🌈🌈


เกี่ยวกับผู้เขียน


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน

#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ

#หนังสือไมเคิลเรียนไม่เก่งจนสอบตกป.3

#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ

#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ

💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามทาร่า 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow





28 เมษายน 2565

งานเยอะงานแยะ จะแบ่งเวลายังไงดี

วันนั้นก็เหมือนวันธรรมดาวันนึงค่ะ มันคือวันธรรมดาที่ยุ่งมาก ๆ จนลูกชายวัย 10 ขวบต้องถามว่า “มัมมี่ ยูทำทั้งวัน ทั้งคืนทำไมมัน ไม่เสร็จสักที” เอ้ยยยยคือมันจี๊ด!! มันกระแทก!! มันเจ็บกระดองใจ!!! เพราะเราทำงานหลายชั่วโมงมากกกก… และเราก็ได้งานเยอะมาก แต่ทำม้ายยย ทำไมนะ งานมันถึงไม่หมดไปซักที 😥

ก่อนอื่นขอเท้าความย้อนไปสัก 1 - 2 ปีที่แล้ว เราเป็นมนุษย์โรคจิตมาก คือ เราไม่ค่อยชอบให้งานมันค้าง คือ ถ้ามีมีงานอะไร เราก็จะจด ๆ ใส่ to do list ในแต่ละวัน แล้วก็ตะบี้ตะบันทำ ๆ ให้เสร็จทุกวัน เป็นมนุษย์งานที่มีประสิทธิภาพมาก เก่งป่ะล่ะ ?? (มองมาถึงตรงนี้ยังงงตัวเองว่าจะโหดไปไหน อารมณ์เหมือน ทำงานหนีหนี้ ทั้งที่ ๆ ชีวิตก็ไม่ได้เป็นขนาดนั้น)


คือ งานบ้าน งานลูก ดองไว้ได้ แต่งานของโรงเรียนต้องเคลียร์จนใสกิ๊กชนิดเอามาส่องแทนกระจกได้ในทุกวัน (เราทำธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาไทยให้เด็ก ๆ ที่เกิดต่างประเทศ ใครสนใจ ทักมาได้นะคะ 😄) เรียกว่า up to date ในทุกวัน ทั้งเด็ก ทั้งครู ผู้ปกครอง ไม่เคยต้องรออะไรเกิน 24 ชั่วโมงเลยก็ว่าได้


แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรรู้มั้ยคะ?? ในขณะที่ทุกคนได้รับบริการระดับ VIP ตัวเราเองนี่แหละที่ร่างแหลกทุกวัน ทั้งเหนื่อย ทั้งยุ่ง ไม่มีเวลาให้ครอบครัว หนักสุดคือลืมประชุมผู้ปกครองลูกก็เคยมาแล้ว (ธุรกิจดูดวิญญาณมากแม่เจ้า!!) ก็เลยทำให้คิดได้ว่า… เราจะตะบี้ตะบันทำงานให้หมดทุกวันแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วนะ เพราะยิ่งเราทำงานมีประสิทธิภาพแค่ไหน นักเรียนก็ยิ่งเยอะ ครูก็ยิ่งเยอะ งานก็ยิ่งเยอะเข้าไปอีก!!! 


Credit : Pixabay 


หลังจากที่วนเวียนอยู่ในวงจรชีวิตธุรกิจดูดวิญญาณอยู่ 2 ปีเต็ม ๆ ในที่สุด… เราก็หาทางออกมาได้จ้าา… 


และนี่คือ 2 อย่างที่เราทำค่ะ


🌻 1. จ้างพนักงานมาช่วยในส่วนที่ไม่ได้สำคัญมาก


เราเริ่มจากพนักงาน 2 คน คือ ตำแหน่งตัดต่อ กับ แอดมินช่วยตอบ inbox เชื่อมั้ยคะว่างานที่เราเคยทำเองคนเดียว พอแบ่งเป็น 3 ตำแหน่ง (3 คน) นี่เพิ่งจะรู้สึกว่ามันเหมาะเจาะลงตัว พอมีเวลาเหลือไปใช้ชีวิตบ้าง… แล้วยิ่งทั้ง 3 ตำแหน่งทำงานมีประสิทธิภาพ นักเรียนก็ยิ่งเยอะ ครูก็ยิ่งเยอะ (วงจรเดิมเลยจ้าาา..) 


แต่ทีนี้ทางออกมันก็ง่ายแล้วไง.. ไม่ใช่โหลดงานพวกเราเพิ่มขึ้น แต่คือการหาทีมงานมาเพิ่ม!!


ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจจ้างพนักงาน 2 คนแรก.. 10 เดือนผ่านมา.. ตอนนี้เรามีพนักงานหลังบ้าน 5 คนแล้วค่ะ (นี่ก็รู้สึกว่าปริมาณกำลังดี.. ลองจินตนาการเองเองนะคะว่างานหน้าบ้านเราจะโตขึ้นขนาดไหน 🙃)


เราเคยแนะนำเพื่อนอีกคนที่เป็น solopreneur ให้หาคนมาช่วยเหอะ!! คนแรกนี่ตัดสินใจยากหน่อย แต่พอมีทีมงานคนที่ 1 แล้ว อีกไม่ถึง 3 เดือน ก็มองหาคนที่ 2 เลยค่ะ เค้าบอกว่ามันเป็นคำแนะนำที่เปลี่ยนชีวิตจริง ๆ 😎



Credit : Pixabay 


🌻 2. กำหนดขอบเขตเวลาในการทำงานของเรา



เมื่อก่อนเราจะเอางานเป็นที่ตั้ง แล้วตะบี้ตะบันทำมันให้เสร็จในแต่ละวัน.. แต่จู่ ๆ ประสบการณ์ตอนทำงานออฟฟิศก็แว่บเข้ามา สมัยที่ทำงานกับแบ้งก์ เค้าก็กำหนดเวลาเข้างาน 9-5 โมงแค่นั้นนะ ถ้าอะไรที่เกินจากนั้นก็ให้ลูกค้ารอไป 😅


แม้กระทั่ง Australian Post ที่ปกติจะมี next day guarantee ที่รับประกันว่าถ้าใช้ซองเหลืองของเค้า ส่งวันนี้ พรุ่งนี้ต้องถึงแล้ว… แต่พอช่วงโควิดที่ทุกคนกักตัวกันหมด มันก็ต้องเลื่อนไป 2-4 วันก็เป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจกันได้ ขอแค่เราสื่อสารกับลูกค้าอย่างชัดเจน


“สวัสดีค่ะ ทางโรงเรียนของเราทำบัญชีทุกวันอังคาร เดี๋ยวแอดมินเช็คกับบัญชีแล้วจะมาแจ้งให้ทราบนะคะ”


“ยินดีเลยค่ะ ทางโรงเรียนของเราไปไปรษณีย์ทุกวันศุกร์ เดี๋ยวส่งแล้วจะมาแจ้ง tracking ให้นะคะ”:


“ช่วงปิดเทอม ตารางคุณครูไม่นิ่งเลยค่ะ แอดมินขอเวลา 48 ชั่วโมง เดี๋ยวมาคอนเฟิร์มกับคุณแม่อีกทีนะคะ”


เราเทรนแอดมินเราให้ตอบลูกค้าทุกคนโดยเผื่อเวลาในการทำงานไว้เลย (1) เค้าจะได้รู้ว่าเราก็มีงานอย่างอื่น มีลูกค้าคนอื่นต้องดูแลเหมือนกัน จะให้ตอบทุกอย่างแบบ real time บางครั้งมันก็ไม่ได้ (2) ในขณะเดียวกัน ลูกค้าเค้าก็รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหน และเกิดอะไรขึ้นหลังบ้าน เราไม่ได้หายไปเฉย ๆ


ตั้งแต่จัดเวลาตัวเองแบบนี้แล้วเรารู้สึกดีมากกกก ธุรกิจก็โตขึ้น ชีวิตส่วนตัวก็มีสมดุลมากขึ้น 🥰


สำหรับใครที่อยากออกแบบชีวิตได้เอง นอกจากเรื่องบริหารเวลาแล้ว เรายังมีอีกเครื่องมือที่ทรงพลังพอ ๆ กัน คือ Vision Board จ้าาา.. เล่มนี้คือสุดปัง ปังปารารังปังปี้ มาก ๆ อยากให้ทุกคนได้อ่านนะคะ


📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj


🌈🌈🌈🌈🌈


เกี่ยวกับผู้เขียน


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน

#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ

#หนังสือไมเคิลเรียนไม่เก่งจนสอบตกป.3

#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ

#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ

💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามทาร่า 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow




ขยายธุรกิจ แบบ Zero to One คืออะไร

😎 ทำธุรกิจอย่ามักน้อย จะโตทั้งทีก็โตแบบ Zero to One ไปเลยค่ะ!!


ใครที่ติดตามกันมาจะรู้ว่าทาร่ามีธุรกิจเปิดโรงเรียนสอนภาษาไทยให้เด็ก ๆ ที่เกิดต่างประเทศอยู่ ซึ่งทาร่ากับหุ้นส่วนช่วยกันบุกเบิก ฝ่าฟันกันจนธุรกิจเติบโตในระดับหนึ่ง แน่นอนว่าทำธุรกิจก็มีปัญหาไม่เว้นวัน เราก็แก้ปัญหากันไป จนกระทั่งทาร่าไปเจอหนังสือเล่มนึงที่น่าสนใจดี และอยากจะมาแชร์กับเพื่อนๆ ด้วยค่ะ 


หนังสื่อชื่อ Zero to One ของ Peter Thiel (ชื่อภาษาไทย คือ จาก 0 เป็น 1) ที่ทาร่ารู้สึกเปิดโลกทัศน์ตั้งแต่บทแรกเลยค่ะ บทนี้เค้าเกริ่นไว้ว่าการทำธุรกิจ ของ Zero to One มันจะต่างจาก การทำธุรกิจ จาก One to Million ยังไง และเราสามารถนำมาปรับใช้ได้ยังไงบ้าง

Credit : Unsplash


ธุรกิจดั้งเดิมรุ่นพ่อแม่เราเน้นโตแบบปริมาณ แบบถ้าบ้านเราเปิดร้านอาหาร ขายข้าวมันไก่ อร่อยมาก ดังเลยในระดับอำเภอ เตี่ยเราก็อยากจะขยายไปยังอำเภออื่น ขยายไปจังหวัดอื่น เปิดให้ทั่วประเทศ ​อันนี้โมเดลธุรกิจแบบดั้งเดิม (เติบโตในแนวนอน)


หรือถ้าบ้านเรามีพลังงาน เราก็ขุดน้ำมัน ขุดถ่านหิน ถ้าเกิดเราอยากมีพลังงานเยอะขึ้น เราก็ไปหาแหล่งน้ำมันที่มากขึ้น ขุดให้มันได้เยอะขึ้น หาเหมืองอื่นๆ มากขึ้น เพื่อให้เราขุดได้เร็วขึ้น เพื่อเอาพลังงานมาใช้มากขึ้น เหมือนเราพยายามขยายจาก 1 ไปถึง 1,000,000


20 เมษายน 2565

คุณพ่อ คุณแม่ ต้องรู้!! ก่อนที่ลูก ๆ ของเราจะเข้าสู่วัยรุ่น


“Raising Boys” ของ Steve Biddulph เป็นหนังสือขายดีในหมวดแม่และเด็กที่ออสเตรเลียค่ะ 


Credit : Unsplash 


ทาร่าเคยอ่านตอนมีลูกชายคนโต และพอจะจับใจความได้ว่า… เด็กผู้ชายเค้าจะมีพัฒนาการตามวัยของเค้าที่พ่อแม่อย่างเราควรจะเข้าใจ คือ


0-6 ปี: เป็นลูกน้อยของแม่ เห็นแม่เป็นทุกอย่าง และอยากจะทำทุกอย่างให้แม่รักและสนใจ (ความสัมพันธ์กับแม่สำคัญมากๆ)


6-14 ปี: มีพ่อเป็นฮีโร่ แต่หลังจากนั้นเด็กผู้ชายจะเริ่มอยากเป็นเหมือนคุณพ่อ เลียนแบบคุณพ่อ (ความสัมพันธ์กับพ่อสำคัญมากๆ)


14+ ปี: อยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เมื่อถึงวัยนี้แล้ว… ทั้งพ่อและแม่ (อาจจะ) ไม่ใช่บุคคลต้นแบบของลูกเราอีกแล้ว จากเบบี้ตัวน้อยของคุณแม่ กับเด็กชายตัวน้อยๆที่เคยชื่นชมคุณพ่อ… เมื่อเวลานี้มาถึง เค้าเริ่มมองหา “cool guy” ที่อยู่ข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียน คุณอาข้างบ้าน หรือคุณอาของตัวเอง หรือศิลปิน ดารา นักร้อง ยูทูปเบอร์ที่ตัวเองชื่นชอบ 


Credit. : Amazon 

เด็กผู้ชายจะชื่นชอบและเลียนแบบ “cool guy” ของพวกเค้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้พบกับ “true self” ของตัวเอง ผู้เขียนบอกไว้ว่า… มันเป็นกระบวนการที่สำคัญมากๆ ที่เด็ก ๆ เค้าจะต้องผ่านการเป็น “คนอื่น” มาก่อน เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่า…. เค้าไม่ใช่ลูกแม่ (เค้าไม่สามารถใช้ชีวิตเพื่อให้แม่มีความสุขได้ตลอดเวลา) และเค้าก็ไม่ใช่พ่อ (เค้าไม่สามารถเป็นเหมือนพ่อได้ไม่ว่าจะพยายามเลียนแบบแค่ไหนก็ตาม) และเค้าก็ไม่ใช่ “cool guy” คนไหนทั้งนั้น ทั้งไม่เคยเป็น ไม่ได้เป็น และจะไม่มีวันเป็นได้…. เค้าคือเค้า!! ไมเคิล (ลูกของทาร่า) ก็มีคนเดียวในโลกนี่แหละ 🤗


+++++


พอมีลูกสาว ทาร่า ก็เลยไปหาเล่มของลูกสาวมาอ่านบ้าง “Raising Girls in the 21st Century” ของนักเขียนคนเดียวกัน แต่เล่มนี้เค้าให้น้ำหนักไปที่ “คุณค่าในตัวเอง” มากกว่าเล่มของลูกชาย ด้วยความที่เด็กผู้หญิงในสังคมส่วนใหญ่จะถูกเลี้ยงดูมาให้อ่อนโยน เป็นเจ้าหญิง (ล่ะมั้ง) หนังสือเล่มนี้เลยให้น้ำหนักกับความเท่าเที่ยม ความแข่งแกร่ง และเห็นค่าในตัวเองมากๆ (ถ้าทาร่าจำไม่ผิดนะคะ อ่านมานานแล้ว อ่านหลายเล่มด้วย - ถ้าแฟน Steve Biddulph มาอ่านเจอว่าผิดตรงไหน ทักมาได้นะคะ 🙏)


Credit. : Amazon 


👊 เด็กผู้หญิงก็สามารถเป็นได้ทุกอย่างได้เหมือนผู้ชาย พวกเธอไม่จำเป็นต้องชอบสีชมพู ชอบเจ้าหญิง และชอบทำกับข้าว ถ้าพวกเธอจะชอบหุ่นยนต์ อยากไปดวงจันทร์ ก็จงเชื่อเถอะว่าพวกเธอจะทำได้ดีไม่แพ้ผู้ชายเลย


👊 วันนึงพวกเธอจะหลงรักผู้ชายซักคน และรู้สึกอยากทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับความรักจากเขา… อย่าทำแบบนั้น ขอให้พวกเธอเป็นตัวเองให้มากที่สุด และรู้ไว้ว่าผู้ชายในวัยเดียวกับเธอส่วนใหญ่จะยังไม่เห็นความสำคัญของ “รักแท้” พวกเขายังพยายามอยู่กับการที่จะเป็น cool guy เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ และมีแฟนไว้เท่ห์ๆ เท่านั้นแหละ


👊 ในเรื่องอย่างว่า… ถ้าผู้ชายของเธอบอกว่า “ทนไม่ได้” หรือ “รอไม่ไหว” อย่าไปเชื่อ!!! มันเป็นข้ออ้างเท่านั้นแหละ จริงๆ แล้วเด็กผู้ชายทุกคน “ทนได้” และ “รอไหว” จงยินยอมก็ต่อเมื่อเธอรู้สึกพร้อมใจจริงๆ เมื่อมาถึงเรื่องอย่างว่า… จงฟังเสียงหัวใจตัวเองให้มากๆ อย่าทำไปเพราะเสียงเรียกร้องของเด็กผู้ชาย และหากพวกเขาขู่ว่าจะเลิก ก็จงปล่อยเขาไป… ผู้ชายแบบนั้นไม่คู่ควรกับความรักของเธอเลย


💗 ส่วนคุณแม่ที่มีลูกสาว… บทบาทของพวกเราสำคัญตั้งแต่เล็กจนโตเลยจ้าาา แม่คนเดียวจะได้เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งบุคคลต้นแบบ และเป็นเพื่อนสาวของพวกเธอด้วยค่ะ 😘 (ใครที่มีทั้งลูกสาว ลูกชาย ไม่ต้องเอาสองคนไปเปรียบเทียบกันนะคะ)


แต่… แต่…. แม่ก็ต้องปรับบทบาทของตัวเองไปด้วยนะ จะทำตัวเป็นแม่ ประคบประหงมดั่งลูกน้อยหอยสังข์ไปตลอดก็ไม่ได้.. จะทำตัวเป็นบุคคลต้นแบบ สั่งสอนไปทุกเรื่อง และคาดหวังให้ลูกคิดเหมือนแม่ ทำเหมือนแม่ เป็นเหมือนแม่ ไปตลอดก็ไม่ได้…. เมื่อลูกเป็นวัยรุ่น เราก็ต้องกลายเป็นเพื่อนของพวกเธอค่ะ!!!


และทางที่ดี เราควรที่จะเริ่มกระบวนการ “เพื่อนสาว” 1-2 ปีก่อนที่พวกเธอจะกลายเป็นวัยรุ่นเต็มตัวค่ะ 



Credit. : Pixabay 

เล่มนี้เค้าแนะนำให้คุณแม่ๆ เริ่มตอนอายุ 9-11 ปีค่ะ ผ่านกิจกรรมที่เรียกว่า GTT (Girls Together Time) หรือแปลเป็นไทยว่า “ช่วงเวลาหญิง ๆ” ที่จะมีแค่แม่กับลูกสาวใช้เวลากระหนุงกระหนิงกันตามลำพังเท่านั้น… ไม่มีคุณพ่อ ไม่มีพี่ชาย น้องชาย (ถ้าบ้านไหนมีพี่สาว น้องสาว ก็ให้แยกพาไปทีละคน) และกำหนดไปเลยว่าทุกเดือน (หรือทุก 2 เดือน 3 เดือน) เราจะมี GTT กันนะ 


ช่วงเวลา GTT นี้ คุณแม่กับลูกสาวสามารถสลับกันเลือกได้ว่าจะทำอะไร หรือจะเริ่มต้นด้วยคำถาม “มีอะไรที่ลูกอยากทำกับแม่ แต่ยังไม่เคยทำมั้ยคะ” หรือ “มีอย่างนึงที่แม่อยากทำกับลูก แต่ยังไม่มีโอกาสเลย”


(เหอ เหอ พิมพ์มาถึงตรงนี้แล้วทาร่าก็คิดถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมาได้ อาทิตย์ที่แต่งงานเลยจ้าา… จู่ ๆ แม่สามีก็พูดขึ้นมาว่า “ชั้นมีแต่ลูกชาย อยากมีลูกสาวมานานแล้ว อยากชวนไปแก้ผ้าอาบน้ำแล้วสลับกันถูหลัง” แล้วหันมามองหน้าลูกสะใภ้ป้ายแดงอย่างทาร่า เย้ยยย… คงไม่ต้องบอกนะคะว่าหลังจากนั้นเป็นไง 😂😂😂)


ถ้าเรื่องที่ลูกสาว หรือแม่อยากทำ มันจะแปลก ๆ ไปบ้างก็ตามนั้นนะคะ คิดซะว่าได้ใช้เวลาร่วมกันและเติมเต็มความฝันของกันและกัน 5555


มันสำคัญมากๆ ที่เราจะเริ่ม GTT และสร้างความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนตั้งแต่ 9-11 ขวบ เพราะเมื่อพวกเธอเริ่มเป็นวัยรุ่นเต็มตัว 13-15 ปี พวกเธอจะเริ่มอาย เริ่มมีความลับ เริ่มรู้สึกว่า… แม่ไม่เข้าใจหรอก!! แล้วพวกเธอจะหันไปปรึกษากันเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว… ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเข้าใจกันมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครในกลุ่มเพื่อน ๆ ของพวกเธอที่มีความรู้ ความเข้าใจโลก และประสบการณ์มากกว่ากันเลยซักคน


การที่เราเริ่ม GTT ล่วงหน้า 1-2 ปี เป็นการสร้างสายใยบางๆ ไว้ก่อนที่พวกเธอจะเป็นวัยรุ่น และไม่ว่าพวกเธอจะติดเพื่อนแค่ไหน มีความลับอะไร และมีอะไรเกิดขึ้นภายในจิตใจพวกเธอ… แต่เมื่อถึงเวลา GTT ทุกเดือน (2 เดือน หรือ 3 เดือน) ตามที่เราทำเป็นประจำมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พวกเธอก็ต้องหลุดปากเล่าอะไรออกมาให้แม่ ๆ อย่างเราได้รับรู้บ้างล่ะน่า 


และถึงตอนนั้นแม่ ๆ อย่างเราก็ต้องไม่ลืมที่จะอัพเกรดสถานะตัวเองจากแม่ จากบุคคลต้นแบบ กลายมาเป็นเพื่อนสาวที่แสนเข้าใจพวกเธอด้วยนะคะ



🌈🌈🌈🌈🌈


เกี่ยวกับผู้เขียน


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน

#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ

#หนังสือไมเคิลเรียนไม่เก่งจนสอบตกป.3

#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ

#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ

💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามทาร่า 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


18 เมษายน 2565

แก้โรคกลัว Phobia ง่าย ๆ ภายใน 10 นาที

ความกลัวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในมนุษย์แทบทุกคน ความกลัวในสิ่งที่น่ากลัวและกลัวอย่างพอดี นั้นเป็นสิ่งจำเป็นและมีประโยชน์สำหรับมนุษย์เราค่ะ เช่น ถ้าเจอเสือ เจองู แน่นอนว่าสัญชาติญาณความกลัวนั้นจะช่วยให้เรามีชีวิตรอดและได้ไปต่อ


แต่ถ้าความกลัวของเรามันมากเกินไป หรือเรา (วัดด้วยมาตรฐานของตัวเองนะคะ) กลัวในสิ่งที่ไม่ควรจะกลัว เช่น กลัวผี เลือด กลัวความสูง กลัวการพูดในที่สาธารณะ จนรู้สึกรำคาญตัวเอง และอยากที่จะเอาชนะความกลัวนี้ซักที


เช่น คุณน้าที่ทาร่ารู้จักคนนึงเป็นโรคกลัวความสูงจนใช้ชีวิตลำบากในหลายๆ ครั้ง ทั้งตอนที่ต้องขึ้นเครื่องบิน และเวลาไปเที่ยวต่างประเทศ ทั้งไปกับครอบครัว และไปพบเจอลูกค้า… ถ้าไปญี่ปุ่น คุณน้าเธอก็ไม่สามารถที่จะขึ้นไปดูวิวบน Tokyo Tower ได้ และในขณะที่ญาติๆ ของเธอกำลังดูวิวอยู่บน Sydney Tower คุณน้าเธอก็ต้องนั่งพักหน้าลิฟท์ พร้อมกับยาดมคู่ใจ


ถ้าใครที่กลัวจนนอยด์ตัวเองในระดับนี้… วันนี้ทาร่ามีเทคนิค NLP (Neuro Linguistic Programming - ศาสตร์พฤติกรรมของสมองและจิตใต้สำนึกโดยชุดภาษา) มาฝากกันด้วยค่ะ


Credit : Pixabay 


🌵 ขั้นตอนที่ 1 ให้เราคิดถึงเหตุการณ์ที่เรากลัวที่สุด ร้ายแรงที่สุด เท่าที่เรานึกออก 


ไม่ว่าคุณจะกลัวแมลงสาบ กลัวหนู กลัวความสูง กลัวเลือด กลัวเข็ม กลัวตาย กลัวผี กลัวความเร็ว กลัวรถ กลัวคน กลัวผู้ชาย กลัวอะไรก็ตาม 


ถ้าใครที่นึกถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดไม่ได้ ให้คิดถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่เราเจอมาก็ได้ค่ะ


ให้เราคิดถึงรายละเอียดในเหตุการณ์นั้น ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตั้งแต่ต้นจนจบ 


คีย์เวิร์ด คือมันต้องมีจุดเริ่มต้น มีจุดจบ และผ่านจุดจบไปด้วยนะคะ


เช่น คุณน้าขึ้นเครื่องบิน พอนั่งลง คาดเข็มขัด ฟังพนักงานพูดอะไรต่างๆ แล้วเครื่องบินก็ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า มันสั่นมากๆ โคลงเคลงจนรู้สึกคลื่นไส้ หายใจไม่ออก แล้วเครื่องบินก็ค่อยๆ นิ่งขึ้น สัญญาณรัดเข็มขัดดับลง แอร์เริ่มเสิร์ฟอาหาร เครื่องดื่ม …… จนกระทั่งมีประกาศว่าให้ทุกคนกลับมานั่งที่เดิม รัดเข็มขัด ปรับเก้าอี้ขึ้น เปิดหน้าต่าง เครื่องบินสั่นอีกที หูเริ่มอื้อ ใจหล่นวูบบบ ตึกรางบ้านช่องใกล้ๆ เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น ล้อเครื่องบินกระทบพื้นจนได้ยินเสียงกึก เครื่องบินยังวิ่งต่อไปอีกระยะ แล้วก็ค่อยๆ ชะลอลง และจอดในที่สุด แอร์ประกาศขอบคุณ จนคุณน้าลุกขึ้น หยิบกระเป๋า และเดินออกจากเครื่องบินไปอย่างปลอดภัย พิ่วววว



                                            Credit : Pixabay

🌵 ขั้นตอนที่ 2 ให้เราจินตนาการถึงเหตุการณ์เมื่อกี้เหมือนว่าเรากำลังดูหนังอยู่ โดยที่มีตัวเองเป็นนักแสดงคนนึง


ให้เราหลับตาและจินตนาการจอหนังใหญ่ๆ ขึ้นมา และเราก็นั่งดูมันอยู่ เหมือนว่าเรากำลังดูหนังในโรง (อาจจะกินป๊อปคอร์นไปด้วยก็ได้ แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ) 


แล้วหนังก็เริ่มฉายแล้ว.. โดยเป็นเรื่องที่เราคิดไว้ในข้อ 1 นี่แหละค่ะ ให้เราเห็นตัวเองเป็นนักแสดงคนนึงที่อยู่ในนั้น // ในขณะที่ตัวเราจริงๆ นั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ และเป็นแค่คนดูเท่านั้น


ให้เราเห็นว่าเรา (ที่อยู่ในหนัง) นั้นกลัวแค่ไหน 


🌵 ขั้นตอนที่ 3 จินตนาการว่าเราดูหนังไปจนเลยจุดจบ แล้วกด replay เพื่อให้มันเล่นอีกครั้งด้วยความเร็ว x 2


ในฐานะคนดูที่จิกมือเพราะความกลัวและอดลุ้นไปกับหนังตรงหน้าไปด้วยไม่ได้ แต่ในที่สุดมันก็จบ เย้… คุณน้าเดินลงจากเครื่องบินไปอย่างปลอดภัย และกำลังรอรับประเป๋าอยู่ที่สายพาน พิ่วววว เราถอนหายใจไปพร้อมกับนักแสดง


แล้วเราก็กด “หยุด” แล้วก็กดปุ่ม “replay” เพื่อให้หนังเรื่องนี้ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้งด้วยความเร็ว 2 เท่า


คุณน้ารอกระเป๋า เดินถอยหลังกลับขึ้นเครื่องบิน เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บข้างบน กลับไปนั่งบนเก้าอี้ รัดเข็มขัด ปิดหน้าต่าง เอนเบาะไปข้างหลับ แอร์ประกาศอะไรซักอย่าง ….. (ย้อนไปเรื่อยๆ) จนกระทั่งถึงตอนที่คุณน้าคลื่นไส้ หายใจไม่ออก เครื่องบินสั่น เครื่องบินเริ่มวิ่ง เครื่องบินจอด คุณน้าเดินออกจากเครื่องบินมาพร้อมกับกระเป๋า


🌵 ขั้นตอนที่ 4 เราดูหนังเรื่องเดิมอีกรอบ แต่เป็นขาวดำ


ในฐานะคนดูที่เห็นหนังเรื่องนี้ เราจะไม่รู้สึกกลัวแล้ว เพราะ 1. มันเร็ว 2. มันเป็นเวอร์ชั่นกลับกันกับเวอร์ชั่นแรก 


ทีนี้ให้คุณจินตนาการว่ากดปุ่ม “หยุด” อีกครั้ง และเลือกโหมด “ขาวดำ” แล้วก็กดปุ่ม “play” อีกครั้ง


คุณน้าเดินขึ้นเครื่องบินมาพร้อมกับกระเป๋า นั่งลง เครื่องบินเริ่มวิ่ง และสั่น คุณน้ากลัวมาก …. จนกระทั่งเครื่องบินลงจอดอย่างปลอดภัย คุณน้าหยิบกระเป๋าของตัวเอง และเดินออกมา (หนังเรื่องเดิมแต่เราดูมันอีกครั้งในเวอร์ชั่นหนังขาวดำนะคะ)



                                              Credit : Pixabay


🌵 ขั้นตอนที่ 5 กระโดดตบ 10 ครั้ง และสังเกตตัวเองอีกครั้ง


ลองวัดระดับความกลัวของตัวเองดูโดยการจินตนาการว่าต้องขึ้นเครื่องบินอีกครั้ง ต้องไปดูวิวบนตึกใบหยก หรือขึ้นลิฟท์แก้วไปบนชั้นสูงๆ แล้วดูว่ายังกลัวอยู่มั้ย??


80% ของคนจะหายกลัวหลังจากทำครบ 5 ขั้นตอนนี้ แต่ถ้าใครยังรู้สึกกลัวอยู่ ก็สามารถทำซ้ำขั้นที่ 1-5 อีกครั้ง จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้นค่ะ


นี่เป็นเทคนิคที่ทาร่าช่วยคุณน้าให้เลิกกลัวความสูง แล้วทาร่าก็ใช้กับตัวเองให้เลิกกลัวผี (ใช่ค่ะ เมื่อก่อนทาร่าเป็นคนกลัวผีมากจนไม่กล้าอยู่คนเดียวดึกๆ เลยค่ะ 😳)


นอกจากจะช่วยรักษาอาการ Phobia (โรคกลัวขั้นสุด) แล้ว เทคนิค NLP ยังสามารถช่วยปรับคลื่นสมองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายของเราด้วยค่ะ จริงๆ มันทำได้หลายวิธีค่ะ แต่วิธีนึงที่ง่ายมากๆ และได้ผล 1000% คือการทำ Vision Board ค่ะ 👉 ทาร่าเล่ารายละเอียดไว้ในเล่มนี้แล้วนะคะ ใครอยากออกแบบชีวิตตัวเองได้อย่างเป๊ะปัง ทั้งในเรื่องการงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ สังคม และจิตวิญญาณ แนะนำเล่มนี้เลยค่ะ 😘😘😘


📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน

#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ

#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ

#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ

💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามทาร่า 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow