31 ธันวาคม 2564

อย่าเพิ่งตัดสินว่าตัวเอง "ไร้ค่า”

ทุกวันนี้เราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นได้ง่ายมากค่ะ ยิ่งมีโซเชียลมีเดีย เรายิ่งใช้เวลาในการดูไลฟ์สไตล์ของคนอื่น ดูสิ่งที่เค้ามี บ้านที่เค้าอยู่ รถที่เค้าขับ ดูว่าวันหยุดไปเที่ยวที่ไหนได้ง่ายขึ้น เพียงไม่กี่นาทีเราก็รู้แล้วว่าคนๆนี้ มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยังไง ยิ่งเราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เรามีความภาคภูมิใจในตัวเองน้อยลงเท่านั้น



ทาร่าเชื่อว่าทุกคนคงเคยมีโมเมนต์ที่แบบ โอ้ยย ทำไมชีวิตเพื่อนเราดีขนาดนี้นะ แต่งงานกับคนรวย มีลูกน่ารักมาก ไม่ดื้อ ไม่ซนเลย หันกลับมามองที่เรา เฮ้อ (ถอนหายใจดัง) เราได้เห็นสิ่งที่คนอื่นมี ยิ่งทำให้เราคิดว่าชีวิตเรามันไม่ค่อยมีค่าเอาซะเลย (ไอ่ค่าที่พอจะมีอยู่บ้างก็เห็นจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบ้าน แล้วก็ค่าเทอมลูกนี่แหละ 😅)


เรื่องนี้มันจริงหรือเปล่า อย่ารีบร้อนค่ะ ฟังเรื่องที่ทาร่ามาแชร์ให้ผู้อ่านกันก่อน





เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคุณยายสายค่ะ ชาวบ้านธรรมดาๆ มีอาชีพทอผ้าไหม อยู่ในชนบทแห่งหนึ่งค่ะ ที่หมู่บ้านแห่งนี้ทุกคนมีอาชีพคล้ายๆ กัน คือหากินด้วยการทอผ้าไหม ภายใน 1 ปี จะมีพ่อค้ามารับซื้อผ้าไหมที่นี่ทุกๆ 2-3 ครั้ง เพื่อนำไปขายต่อในเมือง 



หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญ แต่โชคดีที่ปีนั้นมีเด็กนักเรียนคนหนึ่งเรียนดีได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ทุกช่วงปิดเทอมน้องนักศึกษาก็กลับไปเอาผ้าไหมจากหมู่บ้าน ไปขายให้กับคนในมหาวิทยาลัย เพราะอย่างที่รู้กันว่า วงการข้าราชการ ต้องมีการใส่ผ้าไหมกันตลอด มีลูกค้าทุกระดับเลย อธิการ อาจารย์ เจ้าหน้าที่ อุดหนุนผ้าไหมน้องคนนี้ตลอดเลย 



เทอมนี้น้องเค้ากลับไปที่หมู่บ้านแล้วไปตระเวนถามคนในหมู่บ้านเช่นเดิม ทุกคนก็เอาผ้าไหมมาให้น้องช่วยขายกันเยอะแยะ ติดราคาเรียบร้อย แต่มียายสายคนเดียวนี้แหละที่ไม่ได้ฝากไป น้องนักศึกษาเลยไปถามและได้คำตอบว่า “โอ้ย ยายคงไม่ได้ฝากไปขายแล้วล่ะลูก อายุเยอะแล้วรู้สึกว่าผ้าไหมที่ยายทอ มันไม่สวยเลย เนี่ย ตาเริ่มไม่ดี ทอผืนสุดท้ายเสร็จแล้วเพิ่งมาเห็นว่า มันมีขี้ไหมติดอยู่” พูดพลางหยิบเอาผลงานไร้ค่าของตัวเองออกมาให้ละอ่อนตรงหน้าดู








ยายยังบอกต่ออีกว่า “เนี่ยจะใส่เองมันก็ไม่สวย เอาไปให้คนในหมู่บ้านก็ไม่กล้า คนในหมู่บ้านเค้าดูแล้วรู้เลยว่าถ้ามีขี้ไหมเนี่ย มันไม่สวย พ่อค้ามารับซื้อยายก็ไม่กล้าขาย” คุณยายก็บ่นต่อว่า “เนี่ยยายว่าคงแก่เกินแล้วลูก ต่อไปคงไม่ได้ทอส่งแล้วนะ”







น้องนักศึกษาก็บอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกยาย มีขี้ไหมนิดเดียว ยายขายแบบลดราคาก็ได้ ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ”  ยายสายตอบตกลงไปทั้งที่กล้าๆ กลัวๆ เพราะเอ็นดูน้องนักศึกษา แกไม่ได้คิดอะไรมาก แถมยังบอกว่าไม่ต้องคิดแพงๆ นะ เพราะของมันไม่ดีเท่าไหร่ “ถ้าขายไม่ได้ก็เอาไปทำชุดอยู่บ้านใส่นะลูก แต่ค่าตัดจะคุ้มรึเปล่าล่ะ แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้ผ้าปูโต๊ะแหละเนอะ” ยายสายแซวผลงานตัวเองแก้เขิน






พอเปิดเทอมน้องนักศึกษาเอาผ้าไหมไปขายที่มหาวิทยาลัยเหมือนเดิม พอไปถึงทุกคนก็รีบกรูเข้ามาช้อปปิ้งผ้าไหมที่อิมพอร์ตมาจากชนบท ที่ถักทอด้วยมือแท้ๆ ไม่มีเครื่องจักรเจือปนแน่นอน อาจารย์ก็เลือกช้อปกันไปจนกระทั่งมีอาจารย์คนนึงเห็นผ้าไหมผืนที่มีตำหนิของยายสายแล้วก็รีบหยิบขึ้นมาลูบคลำเหมือนค้นพบสมบัติอันล้ำค้าแอบซ่อนในกองผ้าธรรมดา



อาจารย์หยิบแล้วเรียกเพื่อนมาดู “เธอดูผ้าผืนนี้สิ ทำไมมันสวยอย่างนี้ มีความเป็นไหมแท้ๆ มาก เนี่ยขี้ไหมหรือปมไหม ถ้ามีติดอยู่ผ้าบ้างแต่ไม่มากนะ มันเป็นธรรมชาติแท้ๆ ของไหมเลย เนี่ยหายากมากนะ” เพื่อนอาจารย์อีกคนก็รีบเข้ามาดูแล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่แพ้กัน “เริ่ดอะ ไหนดูซิมีผืนไหนอีกบ้างที่มีขี้ไหม ฉันอยากได้บ้าง”





ทุกคนก็ช่วยกันดูว่ามีผ้าผืนไหนอีกไหมที่ยังมีขี้ไหม ปรากฏว่าผ้าทั้งหมดไม่มีขี้ไหมเลย ทำให้ผ้าไหมของยายสาย กลายเป็นของหายากขึ้นมาทันที ทุกคนต่างอยากได้ อาจารย์ถามราคาแล้วก็รีบตัดสินใจคว้าเงิน 3,000 บาทแล้วยื่นให้นักศึกษาทันที  






อ่านจบแล้วทุกคนคิดว่ายังไงคะ ทาร่า คิดว่าเรื่องนี้ทำให้เราได้คิดเลยว่า ทุกสื่งทุกอย่างมันมีค่าในตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นค่าในตัวเราเองหรือปล่าว บางทีสิ่งที่ยายสายคิดมันอาจจะเกิดจากที่สภาพแวดล้อม เพราะทุกคนในหมู่บ้านล้วนทอผ้าไหมให้เนียบ ทำให้ไม่มีขี้ไหมติด แต่พอไปฝั่งของลูกค้าที่มองเห็นว่า ขี้ไหม เป็นสิ่งที่หายาก เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าสิ่งที่ตนใส่เป็นผ้าไหมทอมือ ทำให้ผ้าไหมของยายสาย มีคุณค่าขี้นมาทันที 


 

บางครั้งวันนี้คุณอาจมองไม่เห็นค่าในตัวเอง ด้อยค่าในตัวเอง เพราะเราอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม เพิ่มเติมคืออยู่ในโลกที่มีการแข่งขัน แถมแข่งขันกันได้ง่ายมาก เราอาจเผลอลืมไปว่าเรามีสิ่งที่มีค่าในตัวเราอยู่นั่นเอง 



ทุกคนมีค่าอยู่ในตัวเองค่ะ อยู่ที่เรารู้มั้ยว่าค่าของเราอยู่ที่ส่วนไหน แต่ถ้าใครอยากพัฒนาให้ตัวเองมีค่ามากกว่าที่คิด ด้วย how-to ทำ vision board ให้ได้ผลเป๊ะปัง เสกชีวิตในฝันได้ง่ายๆ แค่หารูปที่เราชอบมาแปะๆ ไว้ในที่ๆ สามารถมองเห็นได้ทุกวัน ทาร่าขอแนะนำเล่มนี้เลยค่ะ หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow



สนับสนุนทาร่าได้ที่

 

📙📙📙

 

หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

Youtube: tarathow

IG: tarathow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow


26 ธันวาคม 2564

ไม่ต้องรอให้แก่ก็รวยได้ (สูตรลับจากหนังสือดัง)

คุณคิดว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงยังไม่รวยคะ คุณอาจจะโทษว่าก็ใช่สิเงินเดือนฉันมันน้อย เศรษฐกิจไม่ดีมีธุรกิจของตัวเองก็ขายของได้เงินไม่มาก คู่แข่งก็เยอะ คนไม่ออกมาใช้เงิน ไม่คะ บทความนี้เราจะไม่มาเขียนกันถึงเรื่องนี้ ทาร่าอยากมานำเสนอคอนเซปต์ที่เรียกว่า “ความรวยของคนรุ่นใหม่” (หรือ “New Rich Generation”) มันเป็นยังไงทาร่าจะอธิบายให้ฟังค่ะ






ก่อนอื่นคุณคิดว่ามีเงินเท่าไหร่ถึงจะรวยคะ หนึ่งล้านบาท ร้อยล้านบาท หนึ่งพันล้านบาท ไม่เอาเป็นตัวเงินค่ะ ทาร่าจะมาดูจากไลฟ์สไตล์ค่ะ เค้าขับรถพอร์ช บีเอ็มฯ เบนซ์ หรือ เค้าไปล่องเรือสำราญ พักในโรงแรมหรู มีบ้านหลังใหญ่ ใช้เสื้อผ้าแบรนด์ รองเท้าหรู นาฬิกาแพง ใช่ค่ะนี่คือ คนรวยในอุดมของคติของโลกทุนนิยม โลกที่ทำให้เรามีเงินเพื่อที่ซื้อหาสิ่งที่เราคิดว่าเราขาดหายเพื่อให้มาเติมเต็มชีวิตเรา พักไว้ก่อนค่ะ 



หนังสือ The 4 hour work week (ทำน้อยแต่รวยมาก) เป็นหนังสือในดวงใจ เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตของทาร่าเล่มนึงเลยค่ะ ผู้แต่งคือ Tim Ferriss ผู้ชายคนนี้ประกาศออกมาเลยว่า ความรวยไม่ได้อยู่ที่วัตถุที่คุณครอบครอง แต่ความรวยที่แท้จริงอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ อยู่ที่ประสบการณ์ต่างหากล่ะ




ทิมได้บัญญัติศัพท์ใหม่ว่า “New Rich Generation” หรือ “ความรวยของคนรุ่นใหม่” ไว้ว่ามันคือการที่เรามีไลฟ์สไตล์แบบคนรวย โดยที่เราไม่ต้องมีเงินเท่าเค้า เช่น คนรวยอยู่บ้านหลังละ 30 ล้านบาท เราก็สามารถเช่าบ้านแบบเดียวกันได้ด้วยเงินเดือนละ 100,000 บาท (นี่เป็นเรื่องจริงของเพื่อนทาร่าเอง)


เมื่อเห็นตัวเลขอย่างนี้แล้ว คุณพอจะมองเห็นหนทางที่จะ “มีประสบการณ์แบบคนรวย” ได้ง่ายขึ้นบ้างมั้ยคะ?? แทนที่เราจะมุ่งมั่นตั้งใจเก็บเงินให้ได้ 30 ล้านบาทเพื่อให้ได้อยู่บ้านหลังใหญ่แบบคนรวย (ซึ่งเมื่อไหร่จะไปถึงก็ไม่รู้ และเมื่อไปถึงแล้วจะกล้าเอาเงิน 30 ล้านบาทมาซื้อบ้านรึเปล่าก็ยังไม่รู้) แต่ถ้าเราเปลี่ยนโฟกัสไปที่ความสามารถในการจ่ายค่าเช่าเดือนละ 100,000 บาทแทนล่ะ?? 





หรือถ้าเราจะถอยไปอีก 1 ก้าวแล้วไปโฟกัสที่ความสามารถในการต่อรองผลประโยชน์กับเจ้าของบ้านที่ลงตัวแทนล่ะ?? ขอเช่าแค่ 50,000 บาทได้มั้ย แลกกับอะไรก็ว่าไป (คนรวยหลายๆ เค้าก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นตัวเงินเท่านั้น แต่เราต้องหาให้เจอว่าเรามีค่าตอบแทนอะไรให้เค้าได้บ้าง) ถ้ามองได้แบบนี้เราก็จะเห็นความเป็นไปได้อีกเยอะมาก 


หรือจ่ายเดือนละ 100,000 บาทก็ได้ แต่เราอาจจะแบ่งทำ airbnb ด้วยซัก 1 ห้องได้มั้ย?? หรือให้กองถ่ายละครเช่าได้มั้ย?? หรือทำเป็น Home Stay ได้มั้ย?? (รับดูแลเด็กนักเรียนจากต่างประเทศ แบบนี้ที่ต่างประเทศนิยมมากเลยนะคะ)


หรือทำเลทองเป็นหมู่บ้านท่ามกลางคนรวยขนาดนี้ เพื่อนทาร่าก็เปิดโรงเรียนสอนเปียโนกับรับติวภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ในหมู่บ้านไปเลย ไม่ต้องออกไปเช่าออฟฟิศข้างนอกให้สิ้นเปลืองแล้ว ทั้งอยู่ ทั้งทำงานในบ้าน 30 ล้านด้วยค่าเช่าเดือนละ 100,000 บาทนี่แหละ คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว


ไม่ใช่แค่เรื่องบ้านเท่านั้นนะคะ แต่เรื่องของรถ เราก็สามารถเอาหลักการเดียวกันมาใช้ได้ (อย่างตัวทาร่าเอง จะมีเพื่อนเอารถ BMW มาให้ใช้ฟรีๆ ปีละ 2 เดือน คือช่วงที่เพื่อนไปต่างประเทศแล้วกลัวรถแบตหมด ก็เอามาฝากสตาร์ทให้หน่อย “ถ้าจะไปไหนก็เอารถเราไปใช้ได้เลย”)






รวมไปถึงเรื่องฮอลิเดย์ด้วยค่ะ จริงอยู่ว่าเรือสำราญลำใหญ่ ห้องระเบียง ชั้นสูงๆ ต้องจ่ายเงินเป็นแสนๆ ถึงจะมีปัญญาไปเหยียบได้ แต่มันก็ยังมีเรือลำเก่า เรือลำเล็ก ห้องเล็กสุดที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างอยู่ใต้ท้องเรือที่ราคาถูกกว่ากันเยอะมาก (สำหรับฝั่งออสเตรเลียเริ่มต้นที่ทริปละ 20,000 บาทก็หาได้แล้ว) ยังไม่รวมส่วนลดทั้ง Early Bird (สำหรับคนที่จองล่วงหน้านานๆ) Last minute (สำหรับคนที่จองนาทีสุดท้าย) หรือ Black Friday (คนที่ซื้อช่วงเทศกาลต่างๆ) แถมบางที่ยังอนุญาตให้เราเอาแต้มบัตรเครดิตมาแลกได้อีก คือถ้าตั้งใจหาดีๆ ใครๆ ก็สามารถมีประสบการณ์เรือสำราญเหมือนคนรวยได้ค่ะ (ราคาปกติมันแพงก็จริง แต่เราสามารถหาที่มันถูกกว่าปกติได้ค่ะ)


นอกจากเรื่องของ “ความรวยของคนรุ่นใหม่” นี้แล้ว ทาร่ายังมีอีกหนึ่งเทคนิคในการไปถึงทุกเป้าหมายที่เราวางไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรวย สุขภาพ หรือความรัก ทาร่ารวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้วนะคะ


“Power of Vision Board: เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ”


ถ้าคุณเป็นคนที่สนใจเรื่อง goal setting และ/หรือศาสตร์การพัฒนาตัวเองแล้วล่ะก็ รับรองว่าคุณจะต้องหลงรักหนังสือเล่มนี้ 


📙📙📙


หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow


แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl


E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0E-book


ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj ❤💙💚💛💜


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


IG: tarathow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow




25 ธันวาคม 2564

ทำทุกความฝันให้สำเร็จด้วยคำถามแค่ข้อเดียว

เคยมั้ยคะที่ชีวิตไม่ได้ดั่งใจเอาซะเลย เงินเดือนน้อย บ้านที่มีอยู่ก็เล็ก งานที่ทำก็เหนื่อย ไหนยังมีภาระที่ต้องรับผิดชอบอีก คุณลองมาฟังเรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อว่าเจนนี่ก่อนค่ะ แล้วคุณจะกล้าตั้งคำถามแค่ 1 ข้อที่ทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปได้ตลอดกาล





เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่ Mary Morrissey ไลฟ์โค้ชหญิงชาวอเมริกันเล่าให้ฟังค่ะ วันหนึ่งเธอได้พูดคุยชื่อเจนนี่ แม่เลี้ยงเดี่ยวมีลูกติดสองคนวัยกำลังโตเลยค่ะ 6 ขวบ กับ 11 ขวบ 3 แม่ลูกอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ ค่าเช่าเดือนละ 500 เหรียญในประเทศสหรัฐอเมริกา เจนนี่ทำงานเป็นพนักงานร้านฟาร์ทฟู้ดแห่งหนึ่ง รายได้เดือนชนเดือน บางเดือนเงินแทบไม่เหลือทำให้เธอต้องหางานเสริม เธอเลือกใช้เวลาที่เหลือรับซักรีดเสื้อผ้าเพื่อหาเงินมาเพิ่ม




Mary Morrissey


วันที่เจนนี่เดินมาหาแมรี่ เธอมาในสภาพที่เบื่อกับชีวิต เธอระบายให้โค้ชฟังว่า ฉันเหนื่อยมากกับชีวิต เหนื่อยกับการทำงาน บางวันฉันต้องทำงาน 3 งานภายในวันเดียว ฉันเหนื่อยกับบ้านที่แออัด อพาร์ทเม้นท์มันแคบมาก หน้าต่างก็ไม่มี ทำให้อากาศไม่ถ่ายเทเลย ฉันไม่อยากมีชีวิตแบบนี้แล้ว ฉันต้องทำยังไง



แมรี่มองเจนนี่แล้วพูดขึ้นมาว่า ถ้าเธอสามารถเปลี่ยนเรื่องอะไรก็ได้ในชีวิตแค่เรื่องเดียว เธอจะเปลี่ยนเรื่องอะไร เจนนี่ใช้เวลาคิดไม่นาน แล้วก็บอกว่า ฉันอยากได้บ้านใหม่ บ้านใหม่ที่จะทำให้ทั้งครอบครัวของเธอได้มีพื้นที่มากขึ้น เธออยากมีห้องนอนส่วนตัว มีห้องนอนให้ลูกๆ คนละ 1 ห้อง ที่สำคัญคือบ้านใหม่ต้องมีหน้าต่าง ให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก 





เจนนี่เล่าเสร็จ แมรี่ตอบว่า ถ้าเธออยากมีบ้านหลังใหม่ เธออยากทำให้มันเป็นไปได้เธอต้องทำยังไง เจนนี่งงแล้วถามไลฟ์โค้ชว่า เธอจะมาถามฉันทำไมในเมื่อเธอก็รู้ว่าฉันไม่มีปัญญาที่จะเช่าบ้านใหม่ได้ แค่ค่าเช่าเดือนละ 500 เหรียญ ฉันก็ต้องทำงาน 3 งานแล้ว ฉันจะไปมีปัญญาเช่าบ้านใหม่ได้ยังไงกัน 



แมรี่ก็ตอบว่า “ฉันได้ยินแล้วว่ามันเป็นไปได้ แต่ถ้าอยากให้มันเป็นไปได้ เธอต้องทำยังไง” เจนนี่นิ่งไปสักพักก็โวยวายว่า ฉันจะทำยังไงได้ ความรู้ฉันไม่มี เรียนหนังสือก็ไม่จบ สามีก็เลิกกันไปนานแล้ว ทำให้ต้องมาเลี้ยงลูกอยู่นี่ไง มันจะเป็นไปได้ยังไง เจนนี่น้ำเสียงเริ่มสั่น ไม่ค่อยพอใจกับคำตอบที่ได้รับ



แมรี่ไม่ได้อารมณ์ขี้นตามเจนนี่ เธอดูสงบแล้วก็ตอบกลับย้ำคำเดิมด้วยน้ำเสียงเสียงสวยๆ ว่า “ฉันได้ยินแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเธออยากให้มันเป็นไปได้ เธอต้องทำยังไง” การย้ำคำพูดว่า “ถ้าอยากให้มันเป็นไปได้ต้องทำยังไง” ทำให้เจนนี่ที่ดูเดือดๆ เมื่อสักครู่นิ่งลงแล้วใช้ครุ่นคิดพร้อมบอกว่า ฉันคงต้องลองไปหาบ้านดูก่อนใช่มั้ยคะ เมรี่พยักหน้าทำให้เจนนี่คิดในใจว่าเออ งั้นเราคงต้องลองดูบ้านเช่าหลังใหม่แบบจริงจังแล้วล่ะ





สองอาทิตย์ผ่านไปเจนนี่กลับมาหาแมรี่พร้อมกับบอกว่า เจนนี่ฉันเจอบ้านแล้ว ตรงสเปกที่ฉันอยากได้เลย 3 ห้องนอน มีหน้าต่าง อากาศถ่ายเทสะดวก แต่มันออกจะเก่าๆ โทรมๆ แถมราคาตั้ง 1000 เหรียญ ราคาสูงมากฉันจ่ายไม่ไหวหรอกค่ะ แมรี่ถามประโยคเดิมกลับไปอีกครั้ง “ฉันได้ยินแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่ถ้าเธออยากให้มันเป็นไปได้ เธอต้องทำยังไง”



เจนนี่นั่งเงียบอยู่สักพักใช้เวลาคิดแล้วดวงตาเป็นประกายเธอพูดว่า ฉันรู้แล้วว่าจะทำยังไง ฉันจะเขียนจดหมายไปหาเจ้าของบ้านเล่าสถานการณ์ของฉันให้เค้าฟัง พร้อมกับยื่นเสนอให้เค้าว่า ฉันจะขอเช่าบ้านของเค้าในราคา 500 เหรียญ แลกกับการซ่อมแซมบ้านของเค้าตลอดสัญญา 1 ปี ไม่แค่นั่นเธออยากวาดรูปแปลนบ้านใหม่ที่มีการซ่อมแซมแล้วแนบไปให้เจ้าของบ้าน ได้คำตอบจากแมรี่เธอก็กลับบ้านไป 



ไม่กี่วันเธอก็มาหาแมรี่อีกครั้งพร้อมกับบอกว่า เจ้าของบ้านตกลงจะให้ฉันเข้าไปอยู่อาศัยพร้อมกับข้อเสนอที่เธอให้เค้า เธอจะจ่ายค่าเช่าบ้านเพียง 500 เหรียญแลกกับพื้นที่เพิ่มมากขึ้นของสมาชิกในครอบครัว แต่เงื่อนไขของเค้าคือ เค้าจะเป็นคนเลือกอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านทุกอย่างเอง หน้าที่ของของเจนนี่คือลงมือซ่อมแซมบ้านให้สำเร็จตามที่ตกลงไว้



นับตั้งแต่วันที่เธอหาบ้านราคา 500 เหรียญได้สำเร็จ เจนนี่นำหลักคิด “ถ้าอยากเป็นไปได้ ต้องทำยังไง” ของแมรี่ไปใช้กับทุกเรื่องของชีวิต ทั้งเรื่องส่วนตัว ที่ทำงาน ในปีเดียวกันหลังจากเธอใช้หลักการนี้เธอได้รับการเลื่อนขั้น 2 ครั้ง จากพนักงานฟาร์ทฟู้ดธรรมดาๆ ทำให้เธอได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการสาขา 



เมื่อครบ 1 ปีของสัญญาเช่า เจ้าของบ้านก็ขอเลื่อนค่าเช่าเป็น 1000 เหรียญ ซี่งแน่นอนว่าเธอสามารถจ่ายเงินจำนวนนี้ได้ เพราะตอนนี้เธอเป็นผู้จัดการสาขาแล้ว ไม่นานความสามารถของเธอก็ฉายแววขึ้นเธอได้ย้ายจากทำงานที่สาขาไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ เธอได้ทำงานที่ดีกว่าเดิม มีเงินทองมากขึ้นผ่านการตั้งคำถามแค่ 1 ข้อ



 

หันมามองที่ตัวเราค่ะ ถ้าเรายังคิดแค่ว่า ทุกวันนี้เรามันช่างธรรมดามาก หน้าที่การงานก็เท่าเดิม เงินเดือนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น (มีแต่ภาระที่เพิ่มขึ้น อ๋อยยย) คุณจะตั้งคำถามเดียวกับที่คุณแมรี่ตั้งไหมคะ คุณตั้งคำถามแล้วแล้วคุณจะหาวิธีตอบมันได้ไหมคะ ลองนำแนวคิดนี้ไปใช้ดูค่ะ ทาร่าคิดว่าถ้าเจนนี่ทำได้คุณก็ทำได้เช่นกัน 


💭  “ฉันได้ยินแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่ถ้าเธออยากให้มันเป็นไปได้ เธอต้องทำยังไง”


สำหรับใครที่สนใจ how-to ทำ vision board ให้ได้ผลเป๊ะปัง เสกชีวิตในฝันได้ง่ายๆ แค่หารูปที่เราชอบมาแปะๆ ไว้ในที่ๆ สามารถมองเห็นได้ทุกวัน ทาร่าขอแนะนำเล่มนี้เลยค่ะ

 

📙📙📙

 

หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

 

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

 

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 


❤💙💚💛💜


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

 

Youtube: tarathow

 

IG: tarathow

 

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

 

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

 

Blogspot: tarathow.blogspot.com

 

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow



อยากปัง แค่ฟัง "คนที่เราต้องแคร์"

‘โค้ชเปิ้ล’ เป็นไลฟ์โค้ชคนไทยในซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เจ้าของเพจ “โค้ชเปิ้ลซิดนีย์” และเป็นคนนึงที่เราไม่สามารถทนฟังไลฟ์จนจบได้เลยจริงๆ 


ทั้งๆ ที่เราเองก็เคยอบรมไลฟ์โค้ชมาเหมือนกัน แต่สิ่งที่โค้ชเปิ้ลพูดเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถเข้าถึงได้ให้ตายเหอะ อะไรคือคลื่นเสียง พลังงานดนตรี เอลฟ่า แกรมม่า เดลต้า?? แล้วเรื่องของกฏแรงดึงดูดที่ควรจะเป็นเรื่องง่ายๆ โค้ชเปิ้ลสามารถเอามาพูดวกไปวนมาได้เป็นชั่วโมง ฟังจนสมองบอกไม่ไหว นิ้วโป้งในมือก็ไถเลื่อนสิคะ ลาก่อนโค้ชเปิ้ล


เวลาผ่านไป เรามีเพื่อนคนนึงที่ทำเพจเกี่ยวกับการหาเงินในออสเตรเลีย ทั้งเรื่องการรีโนเวทบ้านเพื่อปล่อยเช่า การเอาขวดน้ำพลาสติกไปขายผ่านตู้รีไซเคิล เก็งกำไรค่าเงิน เก็งกำไรเหรียญคริปโต และอื่นๆ อีกมากมาย เห็นเพื่อนได้ดีเราก็ดีใจด้วย เลยทักไปแสดงความยินดีหลังไมค์ และสิ่งที่เราไม่คาดคิดมาก่อนเลยคือ……….

                          Credit : FB โค้ชเปิ้ลซิดนีย์


เพื่อนเราเล่าว่า โชคดีมากๆ ที่เค้าไปซื้อคอร์ส “ไลฟ์ปังตังค์เข้า” ของ 'โค้ชเปิ้ลซิดนีย์' มา มันดีมากๆ มันเวิร์คสุดๆ เราก็แบบเฮ้ย!!! จริงดิ!! ไลฟ์ที่เราเลื่อนผ่านฟังไม่รู้เรื่องนั่นอ่ะนะที่ทำให้เพื่อนเราประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ !!!



อย่างที่เราเกริ่นนำมาตอนต้นว่า ขนาดไลฟ์ฟรีเรายังไถผ่านเลย คนแบบนี้อ่ะนะจะมาเปิดคอร์ส "ไลฟ์ปังตังค์เข้า" ได้ เราก็เลยถามเพื่อนไปตรงๆ ว่ามันมีคนฟังเค้าด้วยจริงๆ เหรอ เพื่อนก็บอกว่า มันมีคนฟังจริงๆ พี่เปิ้ลเก่งมาก ถ้าไม่ได้พี่เปิ้ลช่วยเตะออกมาจาก comfort zone ป่านนี้เพจเค้าคงยังไม่ได้เริ่มอ่ะ



เมื่อเพื่อนแนะนำมาขนาดนี้ เราก็ไม่รอช้า ชื่อคอร์สอะไรนะ “ไลฟ์ปังตังค์เข้า” ใช่มั้ย จัดไปเลยค่ะ!! หลังจากนั้นเราก็ได้คุยปรึกษากับพี่เปิ้ลแบบส่วนตัวอีกหลายครั้ง พี่เปิ้ลเป็นคนที่มีความสามารถในการเตะคนออกจาก comfort zone ได้เก่งมากๆ คนนึงเลยทีเดียว


มีเรื่องหนึ่งที่พี่เปิ้ลเล่าให้ฟังแล้วเรารู้สึก ฉึก! โดนใจมากๆ คือเรื่องเบื้องหลังการทำงาน พี่เปิ้ลเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ทำเพจ “โค้ชเปิ้ลซิดนีย์” แล้วเริ่มแชร์เรื่อง NLP กฎแรงดึงดูดต่างๆ ทำให้มีคนไม่ชอบพี่เยอะมาก



หือ?? (พี่เปิ้ลจะรู้ไหมว่าตอนแรกเราก็ไม่ชอบพี่เค้าเหมือนกัน 😅)



พี่เปิ้ลเล่าต่อว่า….


ทาร่าเชื่อมั้ย?? พี่รู้มาตลอดแหละว่ามีคนไม่ชอบพี่กับเพจที่พี่ทำอยู่เยอะมาก ทั้งคอมเมนต์ ทั้งข้อความหลังไมค์ บางคนก็ไปนินทาลับหลัง บางคนหวังดีหน่อยก็เดินมาถามตรงๆ ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอะไร?? เป็นเจ้าของร้านอาหารก็ดีอยู่แล้ว ทำไมมาไลฟ์แบบนี้?? เสียสติรึเปล่า?? (ใช่ค่ะ พี่เค้าโดนถามมาแบบนี้จริงๆ) 



พี่เปิ้ลบอกว่า คนที่เค้าไม่ชอบพี่ที่สุด เค้าก็ทำได้มากที่สุดแค่นั้นแหละ (จึ้ก! ประโยคทองมาก) เค้าทำได้แค่ ด่า ทำได้แค่ ว่า แต่ไม่มีใครซักคนที่มาปาไข่เน่าใส่พี่ ไปดักตบพี่ที่หน้าร้านอาหารก็ยังไม่เคยมีซักคนเหมือนกัน




แต่ทาร่ารู้มั้ยว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่ฟังพี่ ชอบพี่ แล้วรู้ไหมเค้าให้อะไรพี่ เค้าเอาเงินมาให้พี่!! เพื่อนทาร่าเอาเงินมาให้พี่ ทาร่าเองก็สมัครคอร์สนี้มาแล้วเอาเงินมาให้พี่เหมือนกัน ใช่มั้ย?? (จึ้กไปอีกรอบ)



พี่เปิ้ลยกตัวอย่างให้ฟังว่า คอร์ส millionaire mindset ที่พี่ถ่ายแค่ครั้งเดียว แล้วนอนอยู่เฉยๆ เงินก็เด้งเข้ามาในบัญชีพี่ตลอด (สุดยอดเลยอ่ะ) 


พี่เปิ้ลที่เห็นเรากำลังฟังอย่างตั้งใจเลยปล่อยหมัดน็อคเอาท์มาให้อีกหมัด


“แล้วถ้าทาร่าเป็นพี่ ทาร่าจะเลือกแคร์คนกลุ่มไหน??” 


โอ้ยยย คำตอบมันง่ายมาก “ก็แคร์คนที่เอาเงินมาให้สิพี่” 


พี่เปิ้ลยิ้มสวยๆ สบัดบ๊อบ แล้วพูดต่อว่า “พี่ก็เหมือนกันค่ะ”




❤️🧡💛💚💙

 

เรื่องนี้คือจับใจเราจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ มันทำให้เราคิดได้ว่า เวลาที่เราตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง ทำไมจะต้องกังวลเสียงของคนรอบข้างให้มากมายจนเสียความเป็นตัวเองด้วย แน่นอนว่าเสียงของคนรอบข้างมีประโยชน์มากๆ แต่เราก็ควรที่จะเลือกฟังด้วยเนอะ เลือกฟังเฉพาะกลุ่ม "คนที่เราต้องแคร์" สิคะ


ที่สำคัญกว่านั่นคือ เราต้องไม่ลืมที่จะฟังเสียงหัวใจตัวเองด้วย เชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าสิ่งที่เราทำมันถูกกฎหมาย ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ก็ทำต่อไปเถอะค่ะ (ยิ้มสวยๆ สะบัดบ็อบ แล้วไปต่อแบบ 'โค้ชเปิ้ลซิดนีย์' เลยค่ะ 💃💃💃) 

 

การเลือกฟัง "คนที่เราต้องแคร์" เป็นเทคนิคนึงที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้จริงๆ ค่ะ แต่เรายังมีอีกหลายเทคนิคเพี้ยนๆ ที่รวมไว้ในหนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" อีกหนึ่งเล่มด้วยค่ะ 

 

สำหรับใครที่สนใจเรื่องพัฒนาตัวเอง NLP ไลฟ์โค้ช กฎแรงดึงดูด เล่มนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง เชิญไปตำได้ตามช่องทางนี้เลยค่ะ 😘

 

📙📙📙

 

หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

 

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

 

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj


❤💙💚💛💜

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

 

Youtube: tarathow

 

IG: tarathow

 

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

 

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

 

Blogspot: http://tarathow.blogspot.com

 

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow