คุณเคยแสดงออกซึ่งความรักให้ใครซักคนแล้วรู้สึกว่าเค้าไม่เห็นค่ารึเปล่าคะ?? เช่น อุตส่าห์จัดเซอร์ไพรซ์ซะอย่างดิบดี แทนที่คนรักจะซาบซึ้งน้ำตาไหล แต่กลับโดนดุว่า “ทำทำไมให้สิ้นเปลือง??” เอ้ยย!!!
หรือทุกครั้งที่ถามว่ารักมั้ย เค้าก็จะพยายามตอบแบบเลี่ยงๆ หรือพูดออกมาเหมือนโดนบังคับ เท่านั้นยังไม่พอ เวลาเราบอกรักเค้า เค้ากลับแสดงอาการขนลุก ขนพอง เหมือนไม่ชินกับคำพูดหวานๆ (เลี่ยนๆ) แบบนี้ซักเท่าไหร่
มันเกิดอะไรขึ้น?? หรือเค้าไม่ได้รักเรา เราไม่ได้รักเค้า พวกเราไม่ได้รักกัน??
หรือเป็นไปได้มั้ยว่า…….. เราแค่กำลังบอกรักกัน ‘คนละภาษา’ อยู่???
เรื่องนี้ Shane Forzard โค้ชด้านพัฒนาตัวเองและพัฒนาความสัมพันธ์ที่ออสเตรเลีย ได้เคยสอนไว้ในคลาสที่ชื่อว่า Success Intimacy และเขาได้อธิบายไว้ว่า… ตามธรรมชาติแล้ว คนเราสามารถแสดงออก (และรับ) ความรักได้ถึง 5 ภาษาด้วยกัน บางคนอาจจะเซนซิทีฟกับ ‘ภาษานึง’ มากกว่าอีก ‘ภาษานึง’ แค่ได้รับนิดๆ หน่อยๆ ก็ใจฟูไปถึงดาวอังคารแล้ว แต่ถ้าได้รับหน่วยความรักมาเป็น ‘ภาษาอื่น’ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายนึงพยายามส่งออกมามากมาย แต่เมื่อสัญญาณรับไม่ตรงกันแล้ว… อีกฝ่ายนึงก็ไม่สามารถได้ยินได้
💗 ภาษาที่ 1 คือ การให้ของขวัญ บางบ้านเรียก ‘สายเปย์’ ถ้าเมื่อไหร่เราให้ของขวัญ ซื้อดอกไม้ ช็อคโกแลต ขนมหวาน ใส่ใจในของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เค้าจะรู้สึกซาบซึ้ง เพราะว่ามันแสดงออกถึงความใส่ใจ ถึงแม้จะไม่ใช่สินค้าราคาแพง แต่เค้าจะรู้ว่าเรารักมาก
💗 ภาษาที่ 2 คือ การบริการ เช่น การใส่รองเท้าให้ จะขึ้นรถก็เปิดประตู อยู่บ้านก็ช่วยล้างจาน
ช่วยดูแลลูก ซักผ้า ทำกับข้าว เตรียมเสื้อผ้าทำงานให้กัน อีกฝ่ายจะรู้สึกซาบซึ้ง อบอุ่น น่ารักจังเลย เธอช่างใส่ใจฉัน
💗 ภาษาที่ 3 คือการสัมผัส ทั้งการกอด จูบ จับมือ โอบจับ ลูบไล้ รวมไปถึงการอะไรๆ กันด้วย บางคนก็ถนัดที่จะแสดงออกซึ่งความรักด้วยวิธีนี้ และบางคนก็รู้สึก ‘รัก’ เมื่อได้รับการสัมผัสที่อบอุ่นด้วยเหมือนกัน (ที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่ภาษาสากล และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีภาษารักแบบนี้เป็นภาษาหลัก)
💗 ภาษาที่ 4 คือ คำพูด บางคนก็ชอบฟังคำหวาน ชอบผู้ชายปากหวาน ชอบผู้หญิงขี้อ้อน แค่ได้ยินก็ใจฟูแล้ว ทั้งการชมแบบอ้อมๆ เช่น วันนี้เธอสวยจังเลย ใส่เสื้อใหม่แล้วดูดีมากๆ ลิปสีแดงสวยมาก เข้ากับเธอมาก รวมถึงการบอกรักแบบตรงๆ เช่น ฉันรักเธอจังเลย ฉันโชคดีที่มีเธอในชีวิต
💗 ภาษาที่ 5 การใช้เวลาร่วมกัน คนที่มี ‘ภาษารัก’ แบบนี้จะมีความสุขมากถ้าได้ใช้เวลาร่วมกัน อาจจะแค่นั่งด้วยกันเฉยๆ หรือนั่งอ่านหนังสือใกล้ๆ กัน นั่งเล่นเกมใกล้ๆ กัน หรือการกินข้าวด้วยกัน ได้ทำกับข้าวด้วยกัน แค่นี้ก็รู้สึก ‘รัก‘ มากแล้ว
💔 และปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ระหว่างคู่รัก คือ การที่เรามี ‘ภาษารัก’ ที่ต่างกัน และเราก็พยายาม “บอกรัก” ในแบบของเรา แต่อีกฝ่ายนึงกลับ “ไม่ได้ยิน” หรือเรา “อยากได้ยิน” ภาษารักในแบบของเรา แต่อีกฝ่ายก็ “ไม่ยอมบอก” ในแบบที่เราต้องการซักที
เช่น ผู้ชายชอบใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แค่ได้กินข้าวด้วยกันทุกวันก็มีความสุขมากแล้ว ส่วนผู้หญิงกลับชอบสายเปย์ อยากได้การเอาอกเอาใจ ซื้อของขวัญมาเซอร์ไพรซ์
พอมาอยู่ด้วยกัน ผู้ชายก็รำคาญไปสิ ผู้หญิงซื้ออะไรให้ก็ไม่รู้สึกดีใจ แถมยังไม่เคยซื้ออะไรให้เธออีกต่างหาก ทำไมต้องทำความรักให้เป็นเรื่องวุ่นวายด้วย แค่เราได้กินข้าวด้วยกันทุกวันนี่ก็มีความสุขแล้ว (เหรอ???) // ส่วนผู้หญิงก็น้อยใจไปสิ ซื้ออะไรให้ก็ไม่เคยถูกใจ ไม่เคยใช้ แถมยังไม่เคยมีเซอร์ไพรซ์อะไรให้เธอเลย แล้วจะตัวติดอะไรกันนักหนา ห่างกันบ้างก็ได้มั้ย?? // กลายเป็นว่า… ต่างคนต่างรัก แต่มีวิธีแสดงออกที่ไม่ต่างกัน สุดท้ายแล้ว ‘ความรัก’ ก็ตกหล่นอยู่ตรงกลางระหว่างการสื่อสารอย่างน่าเสียดาย
หลังจากทาร่าได้ยินเรื่องนี้ ทาร่าก็นำมาปรับใช้กับคู่ของตัวเอง สังเกตุว่าภาษารักของสามีทาร่าคือการบริการ เพราะฉะนั้น เค้าก็จะแสดงออกด้วยการช่วยทำงานบ้าน ช่วยเลี้ยงลูก ทำอาหารให้… นี่คือวิธีการแสดงออกถึงความรักที่ครอบครัวเค้าทำกันมา พ่อแม่เค้าก็รักกันแบบนี้แหละ ส่วนเรื่องจะให้มาบอกรัก พูดจาหวานๆ หรือซื้อของขวัญให้กันนี่เหมือนไม่ได้อยู่ในพจนานุกรม “ความรัก” ของเค้าเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นทาร่าก็ต้องปรับตัว ทั้งไม่คาดหวัง และไม่บอกรักเค้าด้วย ‘ภาษานี้’ ให้สิ้นเปลืองพลังงานและกำลังใจด้วย เมื่อไหร่ที่อยากจะบอกรักเค้าก็นวดให้ ช่วยงานบ้าน ทำอาหารให้กิน แบบนี้เค้าจะรู้สึกซาบซึ้งมาก
(หลังจากบอกรักด้วย ‘ภาษาของเค้า’ ให้เค้าได้ยินแล้ว หลังจากนั้นอยากได้อะไรก็ง่ายแล้วค่ะ 😝)
ทาร่าหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างนะคะ ลองนำไปปรับใช้ดู แล้วคุณอาจจะค้นพบว่า จริงๆ แล้ว เรารักกันแหละ แค่เรามีวิธีแสดงออกที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง 🥰
นอกจากเรื่องภาษารักทั้ง 5 แล้ว ทาร่ายังมีอีกเครื่องมือที่ช่วยเนรมิตร ‘ความรักในฝัน’ ให้ได้ เพียงแค่หารูปของ ‘ความรักในฝัน’ มาแปะไว้ในที่ที่สามารถมองเห็นได้ทุกวัน และปิ๊ง
หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow
แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl
E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0
E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj
ช่องทางในการติดตามทาร่า
Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow
IG: tarathow
Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow
Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow
Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow
Blogspot: tarathow.blogspot.com
Tiktok: @tarathow
Line: @tarathow
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น