16 สิงหาคม 2565

สรุปหนังสือ the Richest Man in Babylon โดยเด็ก 9 ขวบ

เรื่องบางเรื่องแม่ก็ไม่รู้จะรู้สอนลูกยังไง แต่หนังสือดีๆนี่มันสอนแทนเราได้จริงๆนะ

ใครอยากสอนลูกเรื่องการเงิน ขอป้ายยาเล่มนี้เลยค่ะ THE RICHEST MAN IN BABYLON เศรษฐีชี้ทางรวย (มีแปลภาษาไทย) เป็นหนังสือแนวเรื่องเล่าที่คลาสสิกมากๆ ตัวละครในหนังสือเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึงที่อยากร่ำรวย จึงได้ไปถามความลับจากผู้ชายที่มั่งคั่งที่สุดในเมืองบาบีลอน และชายคนนั้นก็ค่อยๆ สอนเขาจนกระทั่งเขากลายเป็นคนที่มั่งคั่งเหมือนกัน


เราให้ลูกชายอ่านเล่มนี้ตอน 9 ขวบ แล้วให้เค้าลองสรุปให้ฟัง เอ้ย!! มันได้ผลดีเกินคาดมาก และนี่คือสิ่งที่เด็ก 9 ขวบตกผลึกได้จากหนังสือเล่มนี้ค่ะ


Credit : Se-Ed


1) อยากรวยต้องใช้เงินแค่ 90%


ถ้าเราอยากรวยต้องใช้เงินที่หาได้แค่ 90% เท่านั้น และแบ่ง 10% ไว้เป็นเงินเก็บสำหรับต่อยอดเพื่อสร้างรายได้เพิ่มในอนาคต เช่น หากเราเก็บเงินได้มากพอ เราอาจจะเริ่มจากการซื้อเครื่องทำบะหมี่มาก่อน (ใช่จ้า ลูกเราชอบกินอาหารประเภทเส้นๆ มาก) หลังจากที่เราเอาบะหมี่ของเราไปขายและได้เงินมาแล้ว เราก็ใช้แค่ 90% และเก็บ 10% ไว้เพื่อลงทุนต่อ คราวนี้เราอาจจะซื้อเป็น ผงชูรส เครื่องปรุง ซอส เพิ่มเพื่อที่จะเอามาขายคู่กับบะหมี่ของเรา แล้วก็ต่อยอดไปเรื่อยๆ ด้วยสูตร 90-10 นี่แหละ


2) เก็บเงินไว้ในที่ปลอดภัย


ถ้าเราอยากรวย เราต้องเก็บเงินของเราไว้ในที่ปลอดภัย ต้องไม่เอาไปแอบซ่อนไว้ใต้ต้นไม้ ไม่ตั้งไว้ที่ๆ โจรสามารถเดาได้ง่ายๆ เราต้องไม่เล่นตามเกมของโจร


3) ให้ความสำคัญการกับซื้อของที่จำเป็นก่อน


เมื่อเรามีรายได้ เราต้องนำเงินไปใช้จ่ายกับสิ่งที่จำเป็นมากกว่าสิ่งของไร้สาระ สิ่งที่จำเป็น เช่น เสื้อผ้า อาหาร บ้าน ยา หรือบ้านแบบที่เราสามารถอยู่ได้ในช่วงเวลานั้นๆ จนวันที่เราเริ่มมีรายได้มากขึ้น เราถึงจะเริ่มขยับขยายไปซื้อสิ่งของไร้สาระได้ (บ้าง) หรือมีบ้านที่มันหรูหราใหญ่โตขึ้นได้ ที่สำคัญคือ เราต้องแยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งจำเป็น และอะไรคือสิ่งไม่จำเป็น 


Credit : Pixabay 

4) มีสติก่อนลงทุน


การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนลงทุน และเราต้องแยกแยะให้ออกว่าอะไรคือความจริง อะไรคือขายฝัน เช่น ถ้ามีคนมาชวนคุณให้ไปซื้อที่ดินบนดวงจันทร์ คุณก็จะต้องเอะใจแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก คุณต้องเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง และต้องดูคนให้ออก ดูว่าคนที่มาชักชวนเราเนี่ยะ เค้าดูน่าเชื่อถือมั้ย เค้าฉลาดรึเปล่า เราต้องลงทุนกับคนที่ฉลาดและน่าเชื่อถือเท่านั้น


5) อย่ามองงานเป็น “งาน” แต่จงมองงานเป็น “เพื่อน” 


เราต้องไม่มองงานเป็นศัตรู คู่แข่ง หรืออะไรที่เราไม่ชอบ แต่ต้องมองว่างานกับเราเป็นเพื่อนกัน แล้วเราจะสามารถทำงานได้ดีและมีความสุข เราต้องคิดว่างานเป็นเพื่อน งานช่วยให้เรามีเงิน ช่วยเหลือเราเวลาทุกข์ยาก ที่สำคัญงานช่วยให้เรารวย 


6) เงินคือเมล็ดพันธุ์ 


ให้เราปฏิบัติเงินเหมือนเป็นเมล็ดพันธ์ุที่เราต้องค่อยๆ ประคบประหงม และดูแลให้มันงอกเงย เราต้องนำเงินไปลงทุน และเฝ้ามองดูมันเติบโต อย่านำเงินที่หาได้ไปใช้จนหมด ถ้าทำแบบนั้นเราจะไม่มีเงินเหลือไว้ให้งอกเงยเลย 


7) อย่ากลัวที่จะลงทุน


การเก็บเงินไว้เฉยๆ นอกจากจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว มันยังทำให้เราเสียโอกาสในการลงทุนอีกด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องไม่กลัวที่จะนำเงินที่หาได้ไปต่อยอดเพื่อสร้างเครื่องผลิตเงินเพิ่ม แต่เราก็ต้องดูด้วยว่าสิ่งนั้นมันจะช่วยผลิตเงินให้เราจริงๆ (ไม่ได้เอาไปซื้อที่ดินบนดวงจันทร์ไว้เพื่อเก็งกำไรนะ แบบนั้นไม่ได้เรียกว่าการลงทุน แต่เรียกว่าการพนัน)

Credit : Pixabay 


8) ถ้ามีหนี้ต้องรีบใช้


ถ้าเรามีหนี้ ในตอนแรกมันมักจะดูเล็กน้อยเหมือนศัตรูตัวเล็กๆ แต่ถ้าเราไม่บริหารจัดการให้ดี หนี้ก้อนนี้จะกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ จนกลายเป็นศัตรูตัวใหญ่ขึ้นในภายหลัง เพราะฉะนั้นเราต้องจัดการศัตรูตั้งแต่ตอนที่มันยังเล็กๆ 


9) ทุกคนมีความเก่งในแบบของตัวเอง 


คุณอาจจะทำกับข้าวเก่ง คุณอาจเขียนหนังสือเก่ง คุณอาจขายของเก่ง คุณอาจตลก คุณอาจหน้าบึ้ง คุณอาจจะสอนคนอื่นเข้าใจ ทุกอย่างสามารถนำมาหาเงินและสร้างรายได้ให้คุณได้ทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมากๆ คุณอาจจะนั่งอ่านหนังสือทั้งวัน ทั้งคืน เพื่อหาข้อมูล แล้วเอามา เขียนหนังสืออีกเล่มนึง เป็นหนังสือรวบรวมทุกสิ่งอย่างจากหนังสือทุกเล่มที่คุณอ่านไป แบบนี้ก็สามารถนำไปขายได้และสร้างรายได้ให้คุณได้เหมือนกัน 


10) เราต้องยืนได้ด้วยขาของตัวเอง 


เราต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองให้ได้ สมมุติว่าเราลงทุนเปิดร้านอาหารกับเพื่อน ทำงานร่วมกันเป็นทีมจนรวย แต่ถ้าวันนึงเพื่อนเราถอนทุนคืน เราก็ต้องทำงานนี้ต่อเองได้ด้วย ไม่อย่างนั้นเราก็จะกลายเป็นคนจนทันที


11) คำแนะนำดีๆ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินแลกมาเสมอไป


คุณอาจจะคิดว่าทุกอย่างบนโลกนี้ต้องใช้เงินแลกมาเสมอ แต่นั่นไม่จริงเลย บนโลกนี้ยังมีสิ่งนึงที่ฟรี มันคือ คำแนะนำจากคนฉลาดนั่นเอง ถ้าเราอยากรู้ว่าคนรวยเขาทำยังไงถึงรวย เราก็แค่ต้องไปถามคนแบบนั้นและเรียนรู้จากเขา เริ่มจากคนที่รวยที่สุดในหมู่บ้านเราก็ได้ คำแนะนำแบบนี้ เราสามารถขอเค้าได้ฟรีๆ เลย


หูยยย… ได้ยินลูกสรุปมาแบบนี้แล้วเรายิ่งมั่นใจเลยว่า เรื่องบางเรื่อง แม่อย่าวเราก็ไม่สามารถสอนลูกได้ดีเท่ากับ “หนังสือ” ทัศนคติบางอย่าง เราเองยังคิดไม่ได้เลย ตอนฟังลูกสรุป เรายังพูดกับตัวเองในใจเลยว่า “เออจริง!!” “สุดยอด” แล้วก็ 


“แม่ต้องเอาไปปรับใช้บ้างแล้ว”



😎😎😎😎😎


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


เทคนิคง่ายๆ 4 ข้อจากเด็ก 10 ขวบ ที่ทำปุ๊บ เท่ปั๊บ มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

ไมเคิล สุดหล่อ ลุกชายแม่เอง เจ้าของบทความไวรัลที่เล่าถึงโรงเรียนที่ซิดนีย์ว่า “เด็กทุกคนเก่งหมด” วันนี้แม่มีอีกเรื่องของน้องที่พูดถึงเทคนิคคูลๆ ชิคๆ ง่ายๆ 4 ข้อ ที่ทำปุ๊บ เท่ปั๊บมาฝากด้วยค่ะ

เทคนิคข้อ 1 เวลาคุยกับใครต้องฟังเขาพูดให้จบประโยค


ทาร่าคิดว่าข้อนี้ผู้ใหญ่บางคนก็อาจจะลืมไป เวลาฟังอะไรแล้วความคิดมันแล่นแว้บเข้ามา บางทีเราก็อดใจไม่ไหว อยากที่จะมีส่วนร่วมด้วย.. แต่ค่ะแต่… ไมเคิลบอกว่าเวลาคุยกับใคร เราต้องฟังเค้าให้จบประโยคก่อน อย่าพูดแทรกขึ้นมา เพราะถ้าเราพูดแทรก เขาก็จะไม่อยากเป็นเพื่อนกับเรา แล้วคนที่เค้าเท่ๆ คูลๆ เนี่ยะ เค้าต้องมีเพื่อนค่ะ


เทคนิคข้อ 2 แสดงความสนใจกับทุกสิ่งที่เพื่อนของคุณนำเสนอ


เวลาที่เพื่อนเล่าเรื่องอะไรที่น่าสนใจ เราต้องแสดงความสนใจออกมาค่ะ ว้าว!!! แล้วเขาก็จะอยากคุยกับเราต่อ และถ้าเราไม่สนใจเรื่องที่เพื่อนเล่าล่ะ?? ก็แสดงออกว่าสนใจ ว้าว!!! อยู่ดี ทำแบบนี้เราก็จะเป็นที่รักของเพื่อนๆ ค่ะ (ว้าว!!)


Credit : Pixabay 

เทคนิคข้อ 3 คนเท่ต้องไม่บอกว่าตัวเองเท่


ถ้าคุณอยากเท่ คุณต้องห้ามบอกว่าตัวเองเท่ เพราะคนที่พูดว่าตัวเองเท่จะกลายเป็นคนไม่เท่ ไมเคิลบอกว่า คนที่เท่ๆ ต้องทำตัวเท่ โดยไม่พูดว่าเท่ เพื่อให้คนอื่นคิดเอาเองว่า เราเนี่ยะเป็นคนเท่ 


เทคนิคข้อ 4 คนเท่ต้องจ้องตาคู่สนทนา


ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ เวลาเรามองตาคู่สนทนาเขาจะรู้สึกว่าเราสนใจเขานะ เราฟังเรื่องของเขาอยู่นะ ถ้าคุณทำแบบนี้คนอื่นก็จะมองว่าคุณเป็นคนเท่


เป็นยังไงกันบ้างคะ เทคนิค 4 ข้อเท่ ๆ คูล ๆ ในสายตาของเด็กอายุ 10 ขวบ ทาร่าฟังแล้วก็แอบร้อง ว้าว!!  อยู่ในใจ มันเป็นเรื่องเรียบง่าย ไม่ซักซ้อน และคิดว่าผู้ใหญ่อย่างเราก็สามารถเอาไปปรับใช้ได้ค่ะ สำหรับใครที่อยากฟังคนเท่ๆ เล่าด้วยตัวเอง เชิญที่ลิงก์นี้เลยค่ะ รับประกันความเท่โดยแม่เอง 😆


https://www.youtube.com/watch?v=rL3k2vtZkJM&t=1s


😎😎😎😎😎


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow



อยากลืมแต่กลับจำแก้ปัญหานี้ได้ง่าย ๆ

ช่วงนี้ทาร่าชอบฟัง Podcast ของ Dr. Andrew Huberman Lab มากค่ะ เค้าเป็นนักวิทยาศาสตร์สมอง ทำงานอยู่ที่ Stanford School of Medicine และมาเล่าเรื่องวิทยาศาสตร์ที่มันยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจและนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ เรื่องที่ดร.แอนดรูวเล่าเกี่ยวกับสมองของเราในแง่มุมต่างๆ ตั้งแต่ พฤติกรรม ความคิด การเรียนรู้ การทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย การตื่น การหลับ การฝัน อารมณ์โกรธ เศร้า ไปจนถึงเรื่องระบบเผาผลาญ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ


มีเรื่องนึงที่ทาร่าชอบมากๆ คือ เรื่องการนอนค่ะ เพราะการนอนกินเวลาถึง 1 ใน 3 ของชีวิตคนเรา คุณหมอทุกคนบนโลกเลยย้ำนักย้ำหนาถึงการนอนหลับว่า เราควรนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายเราพักผ่อน ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ มี Growth Hormone ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตในเด็ก ช่วยเพิ่มความสูงและทำให้อวัยวะต่างๆ ขยายขนาดเพื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ 


และเรื่องที่ทาร่ารู้สึกว่าน่าสนใจมากๆ เกี่ยวกับการนอนหลับที่ได้ยินมาจาก Podcast ของ Huberman Lab คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของเราระหว่างที่เรานอนหลับค่ะ!!


Credit : Pixabay


ในขณะที่เราคิดว่าเราหลับอยู่นั้น จริงๆ แล้วสมองของเราไม่เคยหลับเลย แต่มันกลับกำลังทำงานในอีกหน้าที่นึงอยู่ต่างหาก ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับสมองตอนนอนของเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่เราหลับลึก กับช่วงที่เราหลับตื้น (ถ้าใครที่ใช้ fitbit หรือ apple watch ในการ track sleeping น่าจะพอนึกภาพออก) ซึ่งจริงๆ แล้วมันสำคัญเท่ากันทั้ง 2 ช่วง (แค่ทำหน้าที่ต่างกัน)


และหน้าที่อย่างนึงที่สำคัญมากๆ ของการหลับลึก คือ การลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกจากสมองของเราค่ะ 


เพื่อนๆ ลองนึกดูนะคะว่าวันนึงเรารับข้อมูลที่ไม่จำเป็นมากี่ร้อยเรื่อง เราจะเก็บทุกอย่างไว้กับเราก็ไม่ได้ ฉะนั้นเวลาที่เราหลับ สมองเราไม่ได้หลับด้วย แต่มันจะทำการจัดระเบียบข้อมูลที่เราได้รับมาทั้งวันเพื่อวิเคราะว่ามีบ้างที่ควรเก็บไว้ และอะไรที่ควรจะลบทิ้ง


แอนดรูวยังเล่าด้วยว่าจริงๆ แล้วการ “ฝันร้าย” นั้นเป็น “เรื่องดี” และมันก็เป็นการทำงานปกติอย่างนึงของสมองเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่เลวร้ายของเรา ถ้าเราลองสังเกตุดูว่าทุกครั้งที่เราฝันร้าย มันมักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งหนีหรือต่อสู้ ซึ่งหากมีการปลุกขึ้นมานักวิทยาศาสตร์สามารถสรุปได้ว่ามนุษย์เราจะฝันร้ายเพื่อปลดปล่อยอารมณ์และลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นในช่วงหลับลึก และเกิดขึ้นพร้อมๆ กับสิ่งที่เรียกว่า REM (Rapid Eyes Movement) 


Credit : Huberman Lab


แล้ว REM หรือ Raid Eyes Movement นี่มันคืออะไร?? 


มันคือการเคลื่อนที่ไปมาของลูกตาในขณะที่เปลือกตาปิดอยู่ ถ้าเราลองสังเกตุเวลาคนใกล้ตัวหลับ เราจะเห็นว่าทกุๆ 90 นาที (โดยประมาณ) เปลือกตาของเค้าจะมีการสั่นเบาๆ (ซึ่งหากปลุกขึ้นมา ก็มักจะบอกว่ากำลังฝันอยู่)


นอกจากนี้งานวิจัยายังบอกอีกว่า REM sleep นี่แหละเกี่ยวข้องโดยตรงกับการลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกไป และได้มีการพัฒนามากลายเป็นเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อนำมารักษาคนไข้ที่มีอารมณ์ติดค้าง ไม่สามารถปลดปล่อยหรือลบทิ้งได้ด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น คนที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมากๆ ในชีวิต ทั้งอุบัติเหตุ อาชญากรรม โดนข่มขืน หรือการสูญเสียคนรัก/ ของรัก จนไม่สามารถทำใจได้


Credit : Pixabay


ทั้งๆ ที่ใจอยากลืม แต่สมองกลับจำ ช่างสวนทางกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้


สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทำเพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้ คือการจำลองการเคลื่อนไหวของลูกตาในขณะที่หลับ แต่ทำตอนตื่น (ในคลินิครักษา) ด้วยกระบวนการที่ชื่อว่า Eye Movement Desensitization and Reprocessing (EMDR) โดยวิธีการคือให้คนไข้พูด (หรือคิด) ถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น โดยมีนักบำบัดขยับมือไปมาเพื่อแกว่งสายตา หรือพูดง่ายๆ ก็คือการจำลองฝันร้ายขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่ได้หลับ แล้วก็จำลอง REM ขึ้นมาโดยที่ตายังเปิดอยู่นี่แหละ


(ตัวอย่างในคลิปข้างล่าง ช่วงนาทีที่ 20 ค่ะ)


และผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจมากๆ เพราะวิธีนี้สามารถช่วยคนไข้ให้ปลดปล่อย ปล่อยวาง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ 


ทาร่าว่าวิธีการรักษาแบบนี้มันน่าทึ่งมากๆ และมันง่ายมากๆ สำหรับใครที่มีเหตุการณ์ไม่ได้รุนแรงขนาดตัวอย่างที่ทาร่าเล่าไว้ ทาร่าคิดว่าเราน่าจะสามารถใช้วิธีการ EMDR เพื่อเยียวยาตัวเอง (หรือเพื่อน) ของเราได้ด้วย ลองดูนะคะ 🤗


สำหรับใครที่ชอบวิทยาศาสตร์สมองแบบง่ายๆ ทาร่าแระนำช่องของ Dr. Andrew Huberman Lab เลยค่ะ ฟังเพลินมาก ส่วนใครที่ชอบศาสตร์พัฒนาตัวเองแบบองค์รวม ทั้งเรื่องการเงิน การงาน ความรัก สุขภาพ สังคม ร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ก็ตามทาร่านี่แหละ เพราะทาร่าเองก็ชอบเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ถ้าเจออะไรน่าสนใจก็จะมาเล่าต่อแบบนี้ล่ะค่าาาาา


คลิปตัวอย่างการทำ EMDR https://www.youtube.com/watch?v=L6UvKhLYf7w


อ้างอิงเพิ่มเติม https://www.doctorraksa.com/th-TH/blog/posttraumatic-stress-disorder.html


😎😎😎😎😎


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


03 สิงหาคม 2565

ค้นพบโดยบังเอิญ!! เคล็ด (โคตร) ลับของคนทำ Marketing

Kerwin Rae เป็น Business Coach อันดับต้น ๆ ในออสเตรเลีย บริษัทของเค้าดูแลนักธุรกิจทั้งระดับเล็ก ๆ SME จนถึงธุรกิจใหญ่ ๆ ที่ให้คำปรึกษา และเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจให้องค์กรใหญ่รวมไปถึงเรื่องการสร้างทีมด้วย

แต่บทเรียนทางการตลาด (marketing) ข้อนี้เป็นอันที่เค้าเองก็ได้มาด้วยความบังเอิญ แบบบังเอิญจริงๆ นะ 


เรื่องมันมีอยู่ว่า…. ปีที่แล้วเค้าเป็นโรคหัวใจค่ะ!! เป็นหนักจนถึงขั้นเป็นตายเท่ากัน ต้องผ่าตัด และเป็นเวลาเดียวกับที่ภรรยาตั้งท้องลูกคนที่ 2 จนทำให้เค้าไม่สามารถทำงานได้เหมือนเดิม ตอนนั้น Kerwin Rae มีทางเลือก 3 อย่าง คือ


  1. ขายธุรกิจต่อ ให้คนอื่น Take Over มาดูแลกิจการต่อ

  2. ปิดบริษัทไปเลยเพราะเขาเองก็มีทรัพย์สินมากพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องทำงานแล้ว ในเมื่อ Kerwin Rae ทำงานไม่ได้ และเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครดูแลลูกค้าของเค้าได้ดีเท่าเค้า งั้นก็คืนเงินลูกค้าแล้วปิดบริษัทไปเลยละกัน

  3. ทำงานทุกอย่างเหมือนเดิม แค่เอาตัวเองออกจากธุรกิจไป และปล่อยให้ทีมงานทำกันเองโดยที่ไม่มีเค้า


ทายซิคะว่าเค้าเลือกข้อไหน???!?!?!?


Credit : Kerwin Rae Via Facebook

คำตอบคือ ข้อ 3 ค่ะ Kerwin Rae เลือกที่จะเก็บบริษัทไว้เหมือนเดิม แค่เอาตัวเองออกจากบริษัท และอัพเกรดทีมงานในส่วนต่าง ๆ ขึ้นมาเป็นผู้บริหารแทน 


ทายต่อซิคะว่าบริษัทของเค้าจะเป็นยังไงเมื่อไม่มี Kerwin Rae เป็นหัวเรือใหญ่ และคอยนำทางทุกคนอีกต่อไป 


ทาร่าว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากเลยนะคะ เพราะงานที่ออกมามันยังดีเหมือนเดิม!!! ทาร่ายืนยันการันตีด้วยตัวเองเลย เพราะทาร่ามีโอกาสไปฟังสัมมนาออนไลน์ของ Kerwin Rae ทั้ง 2 แบบมาแล้ว


ตอนที่ Kerwin Rae มาสอนเอง มันก็จะได้ฟีลแบบผู้บริหาร มองภาพใหญ่ ภาพกว้าง เน้นปลุกพลัง สร้างแรงบันดาลใจ ส่วนสัมนาที่เค้าไม่ได้สอน แต่ตัดมาเป็นคลิปสั้นๆ ครั้งละ 1 ชั่วโมง นอกนั้นก็ให้พนักงานของเค้ามาสอนแทน เอ้ย!! มันก็ได้ฟีลคนทำงาน ได้เจอปัญหาที่จริงในระดับคนทำงานจริงๆ ได้ฟีลคนสู้ชีวิต ปลุกพลังไปอีกแบบ 


ส่วนตัวทาร่าแอบชอบแบบหลังมากกว่านิดนึง เพราะมันดู real ใกล้เคียงกับชีวิตการทำงานในระดับ SME ของทาร่ามากกว่า และเรื่องนึงที่ทาร่าชอบมากๆๆๆๆ และจำไปปรับใช้ในธุรกิจ/งานของตัวเองเลย คือ เรื่องของการทำ marketing ค่ะ


Credit : Kerwin Rae Via Facebook


มีอยู่ช่วงนึงที่ทีมงานของ Kerwin Rae เม้าท์เจ้านายของเค้าว่า… เมื่อก่อนพอทำอะไรเสร็จ กว่าจะได้โพสต์ออกไป ต้องรอเค้าตรวจแล้ว ตรวจอีก.. แก้แล้ว แก้อีก… แต่พอออกไปก็ไม่เห็นว่ามันจะปังทุกอัน บางอันก็กลางๆ บางอันแป้กเลยก็มีเหมือนกัน


ส่วนตอนนี้ทีมงานมีสิทธิ์ตัดสินใจกันเองมากขึ้น ทำเสร็จปุ๊บ โพสต์ปั๊บ แล้วปล่อยให้ตลาด/ลูกค้าเป็นคนฟี๊ดแบ็ก ซึ่งแน่นอนว่าคลิป/คอนเท้นต์ที่ทีมงานทำกันเองก็มีทั้งอันที่ปัง อันที่แป้ก แล้วก็อันที่กลาง ๆ เหมือนกับตอนที่มี Kerwin Rae มาคอยกำกับนั่นแหละ 


แต่สิ่งที่ต่างกัน คือ เวลาที่ใช้!! เดี๋ยวนี้งานเค้าออกไปเร็วกว่าเดิมเยอะมาก


ทีมงานเลยได้เรียนรู้ว่าการปรับโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้ มันทำให้พวกเค้าได้ค้นพบโดยบังเอิญ 2 เคล็ดลับในการทำ marketing ให้เป๊ะปังเว่อวังมากๆ คือ


1. การตลาดไม่ได้มีทฤษฎีตายตัว


เรื่องการตลาดมันอยู่เหนือการคาดการณ์ บาง Campaign ต่อให้เป็น Kerwin Rae มาคิดเอง มันก็มีทั้งอันที่เวิร์คและอันที่ไม่เวิร์ค รวมถึง Campaign ที่ทีมงานคิดกันเอง มันก็มีทั้งที่เวิร์คและไม่เวิร์คเหมือนกัน


2. การทำงานโดยไม่มีบอสนั้น……


ถึงแม้ผลลัพธ์มันจะใกล้เคียงกันมาก แต่ระยะเวลาการทำงานนั้นเร็วกกว่ากันเยอะ และเมื่อทีมงานมีโอกาสตัดสินใจ เห็นผลลัพธ์ และเป็นเจ้าของผลงานนั้นอย่างเต็มที่ แน่นอนว่าพวกเค้าก็ต้องอัพเกรดความรับผิดชอบและสนุกกับงานตรงหน้ามากขึ้นด้วย


Credit : Kerwin Rae Via Facebook


ทาร่าคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจมาก ใครที่มีธุรกิจก็ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะคะ


ส่วนใครชอบศาสตร์พัฒนาตัวเองแบบรวม ๆ อยากมีชีวิตที่มีสมดุลทั้งเรื่องการงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ ธุรกิจ วิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ การเติบโตทางจิตวิญญาณแบบรวม ๆ สามารถติดตามทาร่าได้ทุกช่องทาง แล้วเราจะเติบโตไปพร้อม ๆ กันนะคะ


💗💗💗💗💗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow



ตั้งราคายังไงให้ขายได้ปังๆ

ธุรกิจที่ทาร่าทำอยู่ คือ โรงเรียนสอนภาษาไทยให้เด็กๆ ที่เกิดต่างประเทศค่ะ


ด้วยความที่ทาร่าและโรงเรียนของทาร่าอยู่ที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศที่มีค่าครองชีพสูงอันดับต้นๆ ของโลก ด้วยอานิสงส์นี้ค่าเรียนของพวกเราก็เลยแพงที่สุดในโลกของการสอนภาษาไทยออนไลน์ให้ชาวต่างชาติด้วยค่ะ จากมาตรฐานคุณครูที่เมืองไทย สอนกันชั่วโมงละ 250-350 บาท แพงสุดที่เคยเห็น คือ ชั่วโมงละ 550 บาทค่ะ


ส่วนราคาของเราเหรอ ชั่วโมงละ 800 บาทเลยค่ะ เพราะน้อยกว่านี้ทีมงานของเราก็อยู่ไม่ได้แล้ว สินค้าทุกชิ้น บริการทุกอย่างของเราทำด้วยมาตรฐานของการเรียนการสอนที่ออสเตรเลีย เราออกแบบเพื่อเด็กๆ ที่เกิดและโตต่างประเทศโดยเฉพาะ ราคาของเราก็เลยต้อง Australian-base ด้วยเหมือนกัน (อ่อ เราต้องจ้างคุณครูด้วย - ในเรทมาตรฐานของคุณครูนี่แหละ)


Credit : Unsplash


และสินค้าตัวล่าสุดที่เรา develop มา คือ ชุดคำศัพท์พื้นฐานภาษาไทยจำนวน 300 คำ สอนกันตั้งแต่สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ ค่ะ ครับ คะ กันเลยทีเดียว ซึ่งทาร่าว่ามัน niche (เฉพาะกลุ่ม) มากเลยนะ เพราะเด็กๆ ที่ไทยเค้าไม่เรียนคำศัพท์ชุดนี้กัน ส่วนเด็กๆ ที่ต่างประเทศที่ควรจะเรียนก็ยังไม่มีใครทำออกมาขาย ของเราเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่ทำคำศัพท์ชุดนี้ออกมา…………..



เวลาเรารีเสิร์ชดูสินค้าที่คล้ายๆ กันใน Shoppee Lazada แต่เป็นภาษาอื่น (อังกฤษ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) ราคาเค้าเริ่มต้นกันที่ชุดละ 50 บาท ร้องไห้!!!! 😢 แบบหรูหราหมาเห่า แพงสุดที่ขายกัน คือ 300 บาท เห็นแบบนี้แล้วทาร่าก็ไขว้เขวเหมือนกัน ดีนะที่ได้หุ้นส่วนเตือนสติไว้


นางเคาะมาที่ 850 บาทเลยจ้าาา… พร้อมอธิบายอีกยาวเหยียด สรุปคือ ลูกค้าพวกเราไม่ใช่คนที่เมืองไทย แต่เป็นคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเราต้องเทียบราคากับบัตรคำศัพท์ที่อยู่ในร้านขายหนังสือที่ประเทศของเราถึงจะถูก ตารางสูตรคูณ บัตรคำศัพท์ผักผลไม้ที่นี่ (ซิดนีย์) ชุดละเท่าไหร่ เราขายแพงกว่าเค้าได้นิดนึง 


ทาร่าฟังมาถึงตรงนี้แล้วยังตกใจ 😬 เอาอย่างนี้เลยเหรอ นางบอกให้เชื่อนาง!!! บัตรคำศัพท์แบบนี้ ต่อให้เราขายแค่ 100 บาทใน Shoppee Lazada ก็ไม่มีคนซื้อหรอก ส่วนคนที่จะซื้อของเรา ตั้งราคาไว้ที่ 850 บาท เค้าก็ซื้อ!!! แล้วเราจะขายดีด้วย!!


มันก็เหมือนกระเป๋านั่นแหละ มีตั้งแต่ใบละสิบ ร้อย พัน หมื่น จนถึงแสน… แล้วทุกใบมันก็ขายได้… ถ้าวาง positioning ไว้ให้ถูก ตอบคำถามให้ได้ว่าลูกค้าของเราเป็นใคร มีไลฟ์สไตล์แบบไหน ทำไมต้องซื้อของเราเท่านั้น แล้วก็สื่อสารออกไปให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย!!!


และอีกข้อนึงที่นักธุรกิจ SME อย่างเราห้ามลืมเลย คือ เวลาตั้งราคาอย่าลืมบวกค่าแรงตัวเองกับค่าการตลาดไว้ด้วยนะคะ อ่านเพิ่มได้ที่นี่ค่ะ https://bit.ly/3o0WLd9 


แชร์เรื่องตอนตั้งราคาไปแล้ว ขอแชร์ผลลัพธ์บ้างนะคะ สินค้าล็อตแรกทาร่าสั่งมา 500 ชุด ขายหมดภายใน 2 เดือนค่ะ 🥳🥳🥳 มีรับ pre-order มาด้วยส่วนนึง ขายส่งด้วยนิดหน่อย แล้วก็ไปออกบูธงานสงกรานต์ที่ซิดนีย์ด้วย ทำหลายๆ อย่าง เลยออกเร็วกว่าที่คิด มีช่วงสินค้าขาดตลาดด้วยน้าาาา ดีใจ 😁


แต่ที่อยากจะแชร์กับเพื่อนๆ คือ การตั้งราคาก็มีผลค่ะ เราทุกคนมี positioning ของตัวเอง ตราบใดที่คุณภาพ ราคา ช่องทางการซื้อ ภาพลักษณ์ และกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นเนื้อเดียวกัน ยังไงก็ปังค่ะ 


🥳🥳🥳🥳🥳


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


รบกวนหน่อยค่ะ อยากรู้จริงๆ … ตกลงเทรนด์ Social Media เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เหรอ??

 🙏🙏🙏 รบกวนหน่อยค่ะ อยากรู้จริงๆ … ตกลงเทรนด์ Social Media เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เหรอ??


อันนี้เป็นความมีนงง สงกะสัยส่วนตัวจริงๆ ค่ะ ช่วงนี้เปิดไปช่องไหน เพจไหน ใครๆ ก็อัพเดทกันว่าหมดยุค Facebook แว้ววววว…. นอกจากโฆษณาที่แพงขึ้น ยากขึ้นแล้ว ข้อมูลจากรายงานผู้ถือหุ้นเมื่อ 2 ไตรมาสที่แล้วยังบอกว่าจำนวนบัญชีที่มีการใช้งานก็น้อยลงด้วยจ้าาา


เอ้ย! ถ้าจำนวนผู้ใช้งานในระบบเค้าน้อยลงนี่ทาร่าว่ามันมีนัยยะมากเลยนะ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว ช่วงปีนี้เพื่อนๆ ทาร่างอกบัญชี Facebook เพิ่มกันทุกคน จากเดิมที่มีแค่บัญชีส่วนตัว โพสรูปลูก รูปสามี อวดหมา อวดแมว เดี๋ยวนี้ก็มีบัญชีขายของเพิ่มกันมาทุกคน จะขายบ้าน ขายอาหารเสริม ขายเสื้อผ้า เล่าเรื่องการลงทุน ไปจนถึงสอนอะไรต่างๆ เค้าก็แยกออกไปต่างหากกัน


Credit : Unsplash

ตัวทาร่าเองที่เคยมีแค่บัญชีเดียว ใช้มาเป็นสิบๆ ปี เพิ่งจะมาเปิดเพิ่มอีกบัญชีปีนี้เอง… คือถ้ามองจากเพื่อน จากสังคมรอบตัว จำนวนคนใช้อ่ะยังเท่าเดิม แต่จำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลย แต่ในรีพอร์ทเค้าบอกว่าบัญชีที่มีคนใช้ก็ลดลงด้วย ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ตรงข้ามกับเพื่อนๆ สังคมออนไลน์ของทาร่าเลย (แปลกมากๆ)


แล้วทาร่าเองก็ทำธุรกิจออนไลน์ด้วยเนอะ สอนภาษาไทยออนไลน์ให้เด็กๆ ที่เกิดต่างประเทศ ซึ่งฐานลูกค้าหลักของเราอยู่ใน Facebook เป็นหลัก แต่พอได้ยินข้อมูลมาจากทุกแหล่งว่าแย่แล้ว ต้องเปลี่ยนแล้ว มีบางสื่อถึงขนาดเอาสถานการณ์ของ Facebook ตอนนี้ไปเปรียบเทียบกับ Kodak Nokia ในสมัยนู้นนน…ครูบาอาจารย์ทุกคนก็บอกให้ไปลุย TikTok กัน


Credit : Unsplash

แต่ทาร่าทำยังไงก็ไม่เวิร์ค ทั้งไอจี ยูทูป ติ๊กต่อก บล็อกดิท ไปมาหมดแล้ว.. สุดท้ายลูกค้าก็มาจาก Facebook เป็นหลักอยู่ดี จนอดสงสัยไม่ได้….. สังคมออนไลน์ของเพื่อนๆ เป็นยังไงกันบ้างคะ?? พฤติกรรมการซื้อของ หาข้อมูล เวลาที่ใช้ในแพลตฟอร์มต่างๆ ได้เปลี่ยนไปจากปีที่แล้วไปยังไงบ้าง??


ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นล่วงหน้านะคะ 🙏🙏🙏


💗💗💗💗💗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow