16 สิงหาคม 2565

อยากลืมแต่กลับจำแก้ปัญหานี้ได้ง่าย ๆ

ช่วงนี้ทาร่าชอบฟัง Podcast ของ Dr. Andrew Huberman Lab มากค่ะ เค้าเป็นนักวิทยาศาสตร์สมอง ทำงานอยู่ที่ Stanford School of Medicine และมาเล่าเรื่องวิทยาศาสตร์ที่มันยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจและนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ เรื่องที่ดร.แอนดรูวเล่าเกี่ยวกับสมองของเราในแง่มุมต่างๆ ตั้งแต่ พฤติกรรม ความคิด การเรียนรู้ การทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย การตื่น การหลับ การฝัน อารมณ์โกรธ เศร้า ไปจนถึงเรื่องระบบเผาผลาญ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ


มีเรื่องนึงที่ทาร่าชอบมากๆ คือ เรื่องการนอนค่ะ เพราะการนอนกินเวลาถึง 1 ใน 3 ของชีวิตคนเรา คุณหมอทุกคนบนโลกเลยย้ำนักย้ำหนาถึงการนอนหลับว่า เราควรนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายเราพักผ่อน ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ มี Growth Hormone ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตในเด็ก ช่วยเพิ่มความสูงและทำให้อวัยวะต่างๆ ขยายขนาดเพื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ 


และเรื่องที่ทาร่ารู้สึกว่าน่าสนใจมากๆ เกี่ยวกับการนอนหลับที่ได้ยินมาจาก Podcast ของ Huberman Lab คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของเราระหว่างที่เรานอนหลับค่ะ!!


Credit : Pixabay


ในขณะที่เราคิดว่าเราหลับอยู่นั้น จริงๆ แล้วสมองของเราไม่เคยหลับเลย แต่มันกลับกำลังทำงานในอีกหน้าที่นึงอยู่ต่างหาก ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับสมองตอนนอนของเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่เราหลับลึก กับช่วงที่เราหลับตื้น (ถ้าใครที่ใช้ fitbit หรือ apple watch ในการ track sleeping น่าจะพอนึกภาพออก) ซึ่งจริงๆ แล้วมันสำคัญเท่ากันทั้ง 2 ช่วง (แค่ทำหน้าที่ต่างกัน)


และหน้าที่อย่างนึงที่สำคัญมากๆ ของการหลับลึก คือ การลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกจากสมองของเราค่ะ 


เพื่อนๆ ลองนึกดูนะคะว่าวันนึงเรารับข้อมูลที่ไม่จำเป็นมากี่ร้อยเรื่อง เราจะเก็บทุกอย่างไว้กับเราก็ไม่ได้ ฉะนั้นเวลาที่เราหลับ สมองเราไม่ได้หลับด้วย แต่มันจะทำการจัดระเบียบข้อมูลที่เราได้รับมาทั้งวันเพื่อวิเคราะว่ามีบ้างที่ควรเก็บไว้ และอะไรที่ควรจะลบทิ้ง


แอนดรูวยังเล่าด้วยว่าจริงๆ แล้วการ “ฝันร้าย” นั้นเป็น “เรื่องดี” และมันก็เป็นการทำงานปกติอย่างนึงของสมองเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่เลวร้ายของเรา ถ้าเราลองสังเกตุดูว่าทุกครั้งที่เราฝันร้าย มันมักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งหนีหรือต่อสู้ ซึ่งหากมีการปลุกขึ้นมานักวิทยาศาสตร์สามารถสรุปได้ว่ามนุษย์เราจะฝันร้ายเพื่อปลดปล่อยอารมณ์และลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นในช่วงหลับลึก และเกิดขึ้นพร้อมๆ กับสิ่งที่เรียกว่า REM (Rapid Eyes Movement) 


Credit : Huberman Lab


แล้ว REM หรือ Raid Eyes Movement นี่มันคืออะไร?? 


มันคือการเคลื่อนที่ไปมาของลูกตาในขณะที่เปลือกตาปิดอยู่ ถ้าเราลองสังเกตุเวลาคนใกล้ตัวหลับ เราจะเห็นว่าทกุๆ 90 นาที (โดยประมาณ) เปลือกตาของเค้าจะมีการสั่นเบาๆ (ซึ่งหากปลุกขึ้นมา ก็มักจะบอกว่ากำลังฝันอยู่)


นอกจากนี้งานวิจัยายังบอกอีกว่า REM sleep นี่แหละเกี่ยวข้องโดยตรงกับการลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกไป และได้มีการพัฒนามากลายเป็นเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อนำมารักษาคนไข้ที่มีอารมณ์ติดค้าง ไม่สามารถปลดปล่อยหรือลบทิ้งได้ด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น คนที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมากๆ ในชีวิต ทั้งอุบัติเหตุ อาชญากรรม โดนข่มขืน หรือการสูญเสียคนรัก/ ของรัก จนไม่สามารถทำใจได้


Credit : Pixabay


ทั้งๆ ที่ใจอยากลืม แต่สมองกลับจำ ช่างสวนทางกันอย่างไม่สามารถควบคุมได้


สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทำเพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้ คือการจำลองการเคลื่อนไหวของลูกตาในขณะที่หลับ แต่ทำตอนตื่น (ในคลินิครักษา) ด้วยกระบวนการที่ชื่อว่า Eye Movement Desensitization and Reprocessing (EMDR) โดยวิธีการคือให้คนไข้พูด (หรือคิด) ถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น โดยมีนักบำบัดขยับมือไปมาเพื่อแกว่งสายตา หรือพูดง่ายๆ ก็คือการจำลองฝันร้ายขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่ได้หลับ แล้วก็จำลอง REM ขึ้นมาโดยที่ตายังเปิดอยู่นี่แหละ


(ตัวอย่างในคลิปข้างล่าง ช่วงนาทีที่ 20 ค่ะ)


และผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจมากๆ เพราะวิธีนี้สามารถช่วยคนไข้ให้ปลดปล่อย ปล่อยวาง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ 


ทาร่าว่าวิธีการรักษาแบบนี้มันน่าทึ่งมากๆ และมันง่ายมากๆ สำหรับใครที่มีเหตุการณ์ไม่ได้รุนแรงขนาดตัวอย่างที่ทาร่าเล่าไว้ ทาร่าคิดว่าเราน่าจะสามารถใช้วิธีการ EMDR เพื่อเยียวยาตัวเอง (หรือเพื่อน) ของเราได้ด้วย ลองดูนะคะ 🤗


สำหรับใครที่ชอบวิทยาศาสตร์สมองแบบง่ายๆ ทาร่าแระนำช่องของ Dr. Andrew Huberman Lab เลยค่ะ ฟังเพลินมาก ส่วนใครที่ชอบศาสตร์พัฒนาตัวเองแบบองค์รวม ทั้งเรื่องการเงิน การงาน ความรัก สุขภาพ สังคม ร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ก็ตามทาร่านี่แหละ เพราะทาร่าเองก็ชอบเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ถ้าเจออะไรน่าสนใจก็จะมาเล่าต่อแบบนี้ล่ะค่าาาาา


คลิปตัวอย่างการทำ EMDR https://www.youtube.com/watch?v=L6UvKhLYf7w


อ้างอิงเพิ่มเติม https://www.doctorraksa.com/th-TH/blog/posttraumatic-stress-disorder.html


😎😎😎😎😎


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


03 สิงหาคม 2565

ค้นพบโดยบังเอิญ!! เคล็ด (โคตร) ลับของคนทำ Marketing

Kerwin Rae เป็น Business Coach อันดับต้น ๆ ในออสเตรเลีย บริษัทของเค้าดูแลนักธุรกิจทั้งระดับเล็ก ๆ SME จนถึงธุรกิจใหญ่ ๆ ที่ให้คำปรึกษา และเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจให้องค์กรใหญ่รวมไปถึงเรื่องการสร้างทีมด้วย

แต่บทเรียนทางการตลาด (marketing) ข้อนี้เป็นอันที่เค้าเองก็ได้มาด้วยความบังเอิญ แบบบังเอิญจริงๆ นะ 


เรื่องมันมีอยู่ว่า…. ปีที่แล้วเค้าเป็นโรคหัวใจค่ะ!! เป็นหนักจนถึงขั้นเป็นตายเท่ากัน ต้องผ่าตัด และเป็นเวลาเดียวกับที่ภรรยาตั้งท้องลูกคนที่ 2 จนทำให้เค้าไม่สามารถทำงานได้เหมือนเดิม ตอนนั้น Kerwin Rae มีทางเลือก 3 อย่าง คือ


  1. ขายธุรกิจต่อ ให้คนอื่น Take Over มาดูแลกิจการต่อ

  2. ปิดบริษัทไปเลยเพราะเขาเองก็มีทรัพย์สินมากพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องทำงานแล้ว ในเมื่อ Kerwin Rae ทำงานไม่ได้ และเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครดูแลลูกค้าของเค้าได้ดีเท่าเค้า งั้นก็คืนเงินลูกค้าแล้วปิดบริษัทไปเลยละกัน

  3. ทำงานทุกอย่างเหมือนเดิม แค่เอาตัวเองออกจากธุรกิจไป และปล่อยให้ทีมงานทำกันเองโดยที่ไม่มีเค้า


ทายซิคะว่าเค้าเลือกข้อไหน???!?!?!?


Credit : Kerwin Rae Via Facebook

คำตอบคือ ข้อ 3 ค่ะ Kerwin Rae เลือกที่จะเก็บบริษัทไว้เหมือนเดิม แค่เอาตัวเองออกจากบริษัท และอัพเกรดทีมงานในส่วนต่าง ๆ ขึ้นมาเป็นผู้บริหารแทน 


ทายต่อซิคะว่าบริษัทของเค้าจะเป็นยังไงเมื่อไม่มี Kerwin Rae เป็นหัวเรือใหญ่ และคอยนำทางทุกคนอีกต่อไป 


ทาร่าว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากเลยนะคะ เพราะงานที่ออกมามันยังดีเหมือนเดิม!!! ทาร่ายืนยันการันตีด้วยตัวเองเลย เพราะทาร่ามีโอกาสไปฟังสัมมนาออนไลน์ของ Kerwin Rae ทั้ง 2 แบบมาแล้ว


ตอนที่ Kerwin Rae มาสอนเอง มันก็จะได้ฟีลแบบผู้บริหาร มองภาพใหญ่ ภาพกว้าง เน้นปลุกพลัง สร้างแรงบันดาลใจ ส่วนสัมนาที่เค้าไม่ได้สอน แต่ตัดมาเป็นคลิปสั้นๆ ครั้งละ 1 ชั่วโมง นอกนั้นก็ให้พนักงานของเค้ามาสอนแทน เอ้ย!! มันก็ได้ฟีลคนทำงาน ได้เจอปัญหาที่จริงในระดับคนทำงานจริงๆ ได้ฟีลคนสู้ชีวิต ปลุกพลังไปอีกแบบ 


ส่วนตัวทาร่าแอบชอบแบบหลังมากกว่านิดนึง เพราะมันดู real ใกล้เคียงกับชีวิตการทำงานในระดับ SME ของทาร่ามากกว่า และเรื่องนึงที่ทาร่าชอบมากๆๆๆๆ และจำไปปรับใช้ในธุรกิจ/งานของตัวเองเลย คือ เรื่องของการทำ marketing ค่ะ


Credit : Kerwin Rae Via Facebook


มีอยู่ช่วงนึงที่ทีมงานของ Kerwin Rae เม้าท์เจ้านายของเค้าว่า… เมื่อก่อนพอทำอะไรเสร็จ กว่าจะได้โพสต์ออกไป ต้องรอเค้าตรวจแล้ว ตรวจอีก.. แก้แล้ว แก้อีก… แต่พอออกไปก็ไม่เห็นว่ามันจะปังทุกอัน บางอันก็กลางๆ บางอันแป้กเลยก็มีเหมือนกัน


ส่วนตอนนี้ทีมงานมีสิทธิ์ตัดสินใจกันเองมากขึ้น ทำเสร็จปุ๊บ โพสต์ปั๊บ แล้วปล่อยให้ตลาด/ลูกค้าเป็นคนฟี๊ดแบ็ก ซึ่งแน่นอนว่าคลิป/คอนเท้นต์ที่ทีมงานทำกันเองก็มีทั้งอันที่ปัง อันที่แป้ก แล้วก็อันที่กลาง ๆ เหมือนกับตอนที่มี Kerwin Rae มาคอยกำกับนั่นแหละ 


แต่สิ่งที่ต่างกัน คือ เวลาที่ใช้!! เดี๋ยวนี้งานเค้าออกไปเร็วกว่าเดิมเยอะมาก


ทีมงานเลยได้เรียนรู้ว่าการปรับโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้ มันทำให้พวกเค้าได้ค้นพบโดยบังเอิญ 2 เคล็ดลับในการทำ marketing ให้เป๊ะปังเว่อวังมากๆ คือ


1. การตลาดไม่ได้มีทฤษฎีตายตัว


เรื่องการตลาดมันอยู่เหนือการคาดการณ์ บาง Campaign ต่อให้เป็น Kerwin Rae มาคิดเอง มันก็มีทั้งอันที่เวิร์คและอันที่ไม่เวิร์ค รวมถึง Campaign ที่ทีมงานคิดกันเอง มันก็มีทั้งที่เวิร์คและไม่เวิร์คเหมือนกัน


2. การทำงานโดยไม่มีบอสนั้น……


ถึงแม้ผลลัพธ์มันจะใกล้เคียงกันมาก แต่ระยะเวลาการทำงานนั้นเร็วกกว่ากันเยอะ และเมื่อทีมงานมีโอกาสตัดสินใจ เห็นผลลัพธ์ และเป็นเจ้าของผลงานนั้นอย่างเต็มที่ แน่นอนว่าพวกเค้าก็ต้องอัพเกรดความรับผิดชอบและสนุกกับงานตรงหน้ามากขึ้นด้วย


Credit : Kerwin Rae Via Facebook


ทาร่าคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจมาก ใครที่มีธุรกิจก็ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะคะ


ส่วนใครชอบศาสตร์พัฒนาตัวเองแบบรวม ๆ อยากมีชีวิตที่มีสมดุลทั้งเรื่องการงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ ธุรกิจ วิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ การเติบโตทางจิตวิญญาณแบบรวม ๆ สามารถติดตามทาร่าได้ทุกช่องทาง แล้วเราจะเติบโตไปพร้อม ๆ กันนะคะ


💗💗💗💗💗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow



ตั้งราคายังไงให้ขายได้ปังๆ

ธุรกิจที่ทาร่าทำอยู่ คือ โรงเรียนสอนภาษาไทยให้เด็กๆ ที่เกิดต่างประเทศค่ะ


ด้วยความที่ทาร่าและโรงเรียนของทาร่าอยู่ที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศที่มีค่าครองชีพสูงอันดับต้นๆ ของโลก ด้วยอานิสงส์นี้ค่าเรียนของพวกเราก็เลยแพงที่สุดในโลกของการสอนภาษาไทยออนไลน์ให้ชาวต่างชาติด้วยค่ะ จากมาตรฐานคุณครูที่เมืองไทย สอนกันชั่วโมงละ 250-350 บาท แพงสุดที่เคยเห็น คือ ชั่วโมงละ 550 บาทค่ะ


ส่วนราคาของเราเหรอ ชั่วโมงละ 800 บาทเลยค่ะ เพราะน้อยกว่านี้ทีมงานของเราก็อยู่ไม่ได้แล้ว สินค้าทุกชิ้น บริการทุกอย่างของเราทำด้วยมาตรฐานของการเรียนการสอนที่ออสเตรเลีย เราออกแบบเพื่อเด็กๆ ที่เกิดและโตต่างประเทศโดยเฉพาะ ราคาของเราก็เลยต้อง Australian-base ด้วยเหมือนกัน (อ่อ เราต้องจ้างคุณครูด้วย - ในเรทมาตรฐานของคุณครูนี่แหละ)


Credit : Unsplash


และสินค้าตัวล่าสุดที่เรา develop มา คือ ชุดคำศัพท์พื้นฐานภาษาไทยจำนวน 300 คำ สอนกันตั้งแต่สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ ค่ะ ครับ คะ กันเลยทีเดียว ซึ่งทาร่าว่ามัน niche (เฉพาะกลุ่ม) มากเลยนะ เพราะเด็กๆ ที่ไทยเค้าไม่เรียนคำศัพท์ชุดนี้กัน ส่วนเด็กๆ ที่ต่างประเทศที่ควรจะเรียนก็ยังไม่มีใครทำออกมาขาย ของเราเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่ทำคำศัพท์ชุดนี้ออกมา…………..



เวลาเรารีเสิร์ชดูสินค้าที่คล้ายๆ กันใน Shoppee Lazada แต่เป็นภาษาอื่น (อังกฤษ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) ราคาเค้าเริ่มต้นกันที่ชุดละ 50 บาท ร้องไห้!!!! 😢 แบบหรูหราหมาเห่า แพงสุดที่ขายกัน คือ 300 บาท เห็นแบบนี้แล้วทาร่าก็ไขว้เขวเหมือนกัน ดีนะที่ได้หุ้นส่วนเตือนสติไว้


นางเคาะมาที่ 850 บาทเลยจ้าาา… พร้อมอธิบายอีกยาวเหยียด สรุปคือ ลูกค้าพวกเราไม่ใช่คนที่เมืองไทย แต่เป็นคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเราต้องเทียบราคากับบัตรคำศัพท์ที่อยู่ในร้านขายหนังสือที่ประเทศของเราถึงจะถูก ตารางสูตรคูณ บัตรคำศัพท์ผักผลไม้ที่นี่ (ซิดนีย์) ชุดละเท่าไหร่ เราขายแพงกว่าเค้าได้นิดนึง 


ทาร่าฟังมาถึงตรงนี้แล้วยังตกใจ 😬 เอาอย่างนี้เลยเหรอ นางบอกให้เชื่อนาง!!! บัตรคำศัพท์แบบนี้ ต่อให้เราขายแค่ 100 บาทใน Shoppee Lazada ก็ไม่มีคนซื้อหรอก ส่วนคนที่จะซื้อของเรา ตั้งราคาไว้ที่ 850 บาท เค้าก็ซื้อ!!! แล้วเราจะขายดีด้วย!!


มันก็เหมือนกระเป๋านั่นแหละ มีตั้งแต่ใบละสิบ ร้อย พัน หมื่น จนถึงแสน… แล้วทุกใบมันก็ขายได้… ถ้าวาง positioning ไว้ให้ถูก ตอบคำถามให้ได้ว่าลูกค้าของเราเป็นใคร มีไลฟ์สไตล์แบบไหน ทำไมต้องซื้อของเราเท่านั้น แล้วก็สื่อสารออกไปให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย!!!


และอีกข้อนึงที่นักธุรกิจ SME อย่างเราห้ามลืมเลย คือ เวลาตั้งราคาอย่าลืมบวกค่าแรงตัวเองกับค่าการตลาดไว้ด้วยนะคะ อ่านเพิ่มได้ที่นี่ค่ะ https://bit.ly/3o0WLd9 


แชร์เรื่องตอนตั้งราคาไปแล้ว ขอแชร์ผลลัพธ์บ้างนะคะ สินค้าล็อตแรกทาร่าสั่งมา 500 ชุด ขายหมดภายใน 2 เดือนค่ะ 🥳🥳🥳 มีรับ pre-order มาด้วยส่วนนึง ขายส่งด้วยนิดหน่อย แล้วก็ไปออกบูธงานสงกรานต์ที่ซิดนีย์ด้วย ทำหลายๆ อย่าง เลยออกเร็วกว่าที่คิด มีช่วงสินค้าขาดตลาดด้วยน้าาาา ดีใจ 😁


แต่ที่อยากจะแชร์กับเพื่อนๆ คือ การตั้งราคาก็มีผลค่ะ เราทุกคนมี positioning ของตัวเอง ตราบใดที่คุณภาพ ราคา ช่องทางการซื้อ ภาพลักษณ์ และกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นเนื้อเดียวกัน ยังไงก็ปังค่ะ 


🥳🥳🥳🥳🥳


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


รบกวนหน่อยค่ะ อยากรู้จริงๆ … ตกลงเทรนด์ Social Media เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เหรอ??

 🙏🙏🙏 รบกวนหน่อยค่ะ อยากรู้จริงๆ … ตกลงเทรนด์ Social Media เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เหรอ??


อันนี้เป็นความมีนงง สงกะสัยส่วนตัวจริงๆ ค่ะ ช่วงนี้เปิดไปช่องไหน เพจไหน ใครๆ ก็อัพเดทกันว่าหมดยุค Facebook แว้ววววว…. นอกจากโฆษณาที่แพงขึ้น ยากขึ้นแล้ว ข้อมูลจากรายงานผู้ถือหุ้นเมื่อ 2 ไตรมาสที่แล้วยังบอกว่าจำนวนบัญชีที่มีการใช้งานก็น้อยลงด้วยจ้าาา


เอ้ย! ถ้าจำนวนผู้ใช้งานในระบบเค้าน้อยลงนี่ทาร่าว่ามันมีนัยยะมากเลยนะ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว ช่วงปีนี้เพื่อนๆ ทาร่างอกบัญชี Facebook เพิ่มกันทุกคน จากเดิมที่มีแค่บัญชีส่วนตัว โพสรูปลูก รูปสามี อวดหมา อวดแมว เดี๋ยวนี้ก็มีบัญชีขายของเพิ่มกันมาทุกคน จะขายบ้าน ขายอาหารเสริม ขายเสื้อผ้า เล่าเรื่องการลงทุน ไปจนถึงสอนอะไรต่างๆ เค้าก็แยกออกไปต่างหากกัน


Credit : Unsplash

ตัวทาร่าเองที่เคยมีแค่บัญชีเดียว ใช้มาเป็นสิบๆ ปี เพิ่งจะมาเปิดเพิ่มอีกบัญชีปีนี้เอง… คือถ้ามองจากเพื่อน จากสังคมรอบตัว จำนวนคนใช้อ่ะยังเท่าเดิม แต่จำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลย แต่ในรีพอร์ทเค้าบอกว่าบัญชีที่มีคนใช้ก็ลดลงด้วย ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ตรงข้ามกับเพื่อนๆ สังคมออนไลน์ของทาร่าเลย (แปลกมากๆ)


แล้วทาร่าเองก็ทำธุรกิจออนไลน์ด้วยเนอะ สอนภาษาไทยออนไลน์ให้เด็กๆ ที่เกิดต่างประเทศ ซึ่งฐานลูกค้าหลักของเราอยู่ใน Facebook เป็นหลัก แต่พอได้ยินข้อมูลมาจากทุกแหล่งว่าแย่แล้ว ต้องเปลี่ยนแล้ว มีบางสื่อถึงขนาดเอาสถานการณ์ของ Facebook ตอนนี้ไปเปรียบเทียบกับ Kodak Nokia ในสมัยนู้นนน…ครูบาอาจารย์ทุกคนก็บอกให้ไปลุย TikTok กัน


Credit : Unsplash

แต่ทาร่าทำยังไงก็ไม่เวิร์ค ทั้งไอจี ยูทูป ติ๊กต่อก บล็อกดิท ไปมาหมดแล้ว.. สุดท้ายลูกค้าก็มาจาก Facebook เป็นหลักอยู่ดี จนอดสงสัยไม่ได้….. สังคมออนไลน์ของเพื่อนๆ เป็นยังไงกันบ้างคะ?? พฤติกรรมการซื้อของ หาข้อมูล เวลาที่ใช้ในแพลตฟอร์มต่างๆ ได้เปลี่ยนไปจากปีที่แล้วไปยังไงบ้าง??


ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นล่วงหน้านะคะ 🙏🙏🙏


💗💗💗💗💗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


11 กรกฎาคม 2565

ออสเตรเลีย: สอนเรื่องเงินเด็กๆ ยังไง

เรื่องเงินๆ ทองๆ นี่เป็นทักษะที่จำเป็นกับชีวิตเรามากๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้มีบรรจุไว้ในบทเรียน ไม่ได้เฉพาะที่เมืองไทยนะคะ ที่ออสเตรเลียก็เหมือนกันค่ะ เราไม่มีแบบเรียนการเงินอย่างเป็นทางการให้กับเด็กๆ (อย่างน้อยก็จนถึง ป.5 ที่ลูกชายทาร่าเรียนอยู่ - โรงเรียนเค้ายังไม่เคยสอนเรื่องนี้เลยค่ะ)


หรือถ้าจะมี ก็จะมีในรูปแบบ workshop เสริมที่พ่อแม่ต้องลงทะเบียนให้ลูกๆ เพิ่ม (แต่ก็มีไม่เยอะ) 


หรือไม่ก็เป็นรูปแบบอาสาสมัครของกลุ่มไหนซักกลุ่ม (แต่ก็มีไม่บ่อยเหมือนกันค่ะ)


Credit : 2GB

ก่อนที่ทาร่าจะมาทำโรงเรียนสอนภาษาไทยให้เด็กๆ ที่เกิดต่างประเทศ ทาร่าทำงานไฟแนนซ์ในส่วนของสินเชื่อมาก่อนค่ะ ทุกคนที่ทำงานด้านนี้จะต้องเป็นสมาชิกของหน่วยงานที่ชื่อว่า MFAA (Mortgage & Finance Association of Australia) ทาร่าเลยมีโอกาสได้ไปทำงานอาสาสมัครให้ความรู้ทางการเงินกับเด็กๆ ที่นี่ด้วย 1 ครั้ง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เลยค่ะ เพราะก่อนที่เราจะไปให้ความรู้เด็กๆ ได้ เราก็ต้องไปอบรมเรื่องที่จะสอนจาก MFAA ก่อน


และสิ่งที่ MFAA กำหนดให้พวกเราชาวไฟแนนซ์ไปแบ่งปันกับน้องๆ ชั้นประถม-มัธยมทั่วออสเตรเลีย มีอยู่ 3 ประเด็นหลักๆ คือ


1. เด็กๆ ต้องแยกให้ออกระหว่าง “สิ่งจำเป็น” กับ “สิ่งฟุ่มเฟือย”

เรื่องนี้สอนกันง่ายๆ พ่อแม่สามารถชวนเด็กๆ คุยได้ตั้งแต่เล็กๆ โดยไม่มีคำว่า “เงิน” เข้ามาเกี่ยวข้องเลยค่ะ แค่ลองชวนคุยและฝึกแยกแยะค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ตั้งแต่ กระเป๋า นาฬิกา ผลไม้ แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายส์ มือถือ เกมส์กด ลูกปิงปอง ลูกบอล ร่ม เสื้อกันหนาว ค่าน้ำ ค่าไฟ ฮอลิเดย์ รถ บ้าน ฯลฯ


Credit : Pixabay 


และสอนให้เด็กๆ เข้าใจว่า ‘สิ่งจำเป็น’ หรือ ‘สิ่งฟุ่มเฟือย’ ของเราอาจจะเหมือนหรือต่างจากคนอื่นก็ได้ เช่น มือถือเป็นสิ่งจำเป็นของพ่อแม่ แต่เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยของเด็กๆ และ ‘สิ่งจำเป็น’ หรือ ‘สิ่งฟุ่มเฟือย’ ของเด็กๆ ก็อาจจะเปลี่ยนไปตามเวลาได้ด้วยเหมือนกัน เช่น มือถือเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยของเด็กๆ ในตอนนี้ แต่ในอนาคตมันก็จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นได้เหมือนกัน


เมื่อเด็กๆ สามารถแยกแยะ ‘สิ่งจำเป็น’ กับ ‘สิ่งฟุ่มเฟือย’ ได้ด้วยตัวเองแล้ว ในอนาคตเค้าก็จะมีความยับยั้งชั่งใจ เมื่อต้องตัดสินที่จะต้องใช้จ่ายเงินออกไปค่ะ


2. สอนเด็กๆ ให้เข้าใจเรื่องการวางแผนทางการเงินล่วงหน้า 


เพราะบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแต่ของชิ้นเล็กๆ เช่น ขนม 5 บาท 10 บาท หรือของเล่นชิ้นละ 500 บาท แต่เด็กๆ ต้องเข้าใจว่า ของบางอย่างมันก็ชิ้นใหญ่เกินกว่าที่จะซื้อได้ทันที เช่น บ้าน รถ คอมพิวเตอร์ หรือ ฮอลิเดย์ต่างประเทศ ไม่ได้มีแต่เด็กๆ เท่านั้นที่ไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ (เพราะพ่อแม่ไม่อนุญาต) แต่พ่อแม่เองก็ไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ในทันทีเหมือนกัน (เพราะข้อจำกัดทางการเงิน)


ผู้ใหญ่บางคนก็เก็บเงินตั้ง 10 ปีเพื่อที่จะดาวน์บ้านได้หนึ่งหลัง และยังต้องผ่อนต่ออีก 30 ปี ถึงจะจ่ายหนี้ธนาคารหมด และ “การออมเงินเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า” ก็เป็นทักษะทางการเงินที่สำคัญมากๆ อย่างนึง ที่พ่อแม่ควรจะอธิบายให้เด็กๆ ได้เข้าใจ และเป็นทักษะที่เด็กๆ สามารถฝึกได้ตั้งแต่เล็กๆ เลยค่ะ เช่น อยากได้ของเล่นชิ้นละ 5,000 บาทเหรอ?? งั้นก็ต้องอดออมโดยการไม่ซื้อของเล่นชิ้นละ 250 บาท จำนวน 20 ชิ้น สมการมันก็ง่ายๆ แค่นี้เอง


Credit : Pixabay 


ยิ่งเป้าหมายของเราใหญ่แค่ไหน เรายิ่งต้องใช้เวลาในการรอคอยนานขึ้นเท่านั้น… และความจริงนี้จะอยู่กับเด็กๆ ไปตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตเลยค่ะ


คุณพ่อคุณแม่เองก็สามารถแชร์สถานการณ์ทางการเงินในบ้านให้เด็กๆ ได้รับรู้ได้ และถือโอกาสสอนเค้าไปพร้อมๆ กันว่า… เราไม่สามารถซื้อทุกอย่างที่เราอยากได้ในตอนนี้ได้ แต่หากเราวางแผนการเงินไว้ดีๆ เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง เราเองก็สามารถซื้อได้ทุกอย่างที่เราอยากได้ ไม่ได้น้อยไปกว่าคนอื่นเลย (เราสามารถซื้อได้ทุกอย่าง แต่เราจะซื้อทุกอย่างไม่ได้!!! เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกในสิ่งที่เราต้องการจริงๆ วางแผน และทำตามอย่างมีวินัยค่ะ)


3. รักษาเครดิตของเราไว้ให้ดี 


ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อทุกอย่างในชีวิตได้ทันที และต้องมีการอดออมในช่วงเวลานึงเพื่อที่จะซื้อสิ่งจำเป็น (หรือสิ่งฟุ่มเฟือย) ได้ แต่โลกใบนี้ก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น เพราะหากเราเป็นคนมีเครดิต บางครั้งเราก็สามารถที่จะหยิบยืมเงินในอนาคตมาใช้ก่อนได้ เช่น แทนที่เราจะต้องเก็บเงิน 30 ปีเพื่อที่จะซื้อบ้านได้ด้วยเงินสด แต่ถ้าเราเป็นคนมีเครดิต เราก็อาจจะซื้อได้เลยทันทีโดยยืมเงินจากแบ้งก์มาก่อน และทยอยจ่ายคืนแบ้งก์เป็นเวลา 30 ปีแทนก็ได้ (แต่ก็มีดอกเบี้ยเพิ่มเข้ามา)

แล้วทำยังไงเราถึงจะเป็นคนมีเครดิตที่ดีจนสามารถหยิบยืมเงินในอนาคตมาใช้ได้ล่ะ?? 


Credit : Pixabay 


เราก็ต้องเป็นคนรักษาคำพูดค่ะ ถ้าบอกว่าจะเล่นเกมอีกแค่ 10 นาที เด็กๆ ก็ต้องเล่นอีกแค่ 10 นาทีจริงๆ ถ้าเด็กๆ บอกว่าจะช่วยแม่ล้างจาน ก็ต้องช่วยจริงๆ ถ้าเด็กๆ ขอให้แม่ซื้อของเล่นชิ้นละ $50 ให้ก่อนแล้วจะทยอยผ่อนให้วันละ $5 เป็นเวลา 10 วัน เด็กๆ ก็ต้องทำให้ได้ตามที่ได้รับปากเอาไว้


คนที่รักษาคำพูดได้ดี เราเรียกว่า “คนมีเครดิต” และในอนาคตหากเด็กๆ อยากจะขอยืมเพิ่มเป็น $100 หรือ $200 พ่อแม่ก็ยินดีที่จะให้ยืมโดยที่ไม่ต้องคิดมาก และนี่ก็เป็นหลักการเดียวกันกับการพิจารณาสินเชื่อของแบ้งก์ในโลกของผู้ใหญ่นี่แหละค่ะ เค้าจะให้ยืมเฉพาะ “คนมีเครดิต” เท่านั้น!!!


นี่ก็เป็น 3 เรื่องสำคัญเกี่ยวกับการเงินที่โรงเรียนทั่วไปไม่ได้สอนไว้ แต่พ่อแม่สามารถสอนเด็กๆ เองได้ง่ายๆ และจะเป็นประโยชน์กับเด็กๆ ไปจนโตเลยค่ะ


💗💗💗💗💗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


บรรทัดแรก VS บรรทัดสุดท้าย ที่คนทำธุรกิจ SME ต้องรู้

สิ่งนึงที่คนทำธุรกิจขนาดเล็ก SME มักจะสับสนในการทำธุรกิจ คือ เรื่องของบรรทัดแรก กับ บรรทัดสุดท้ายค่ะ!!! 


ในงบการเงินบรรทัดแรก คือ ยอดขาย และบรรทัดต่อๆ มาคือรายจ่ายอันยาวเหยียด ที่หลังจากหักลบกับบรรทัดบนสุดแล้วก็กลายมาเป็นตัวเลขบรรทัดสุดท้าย ที่เรียกว่า กำไรสุทธิ


แน่นอนว่าธุรกิจจะมีกำไรจะต้องมียอดขาย แต่… แต่… แต่…. ธุรกิจที่มียอดขายอาจจะไม่ได้มีกำไรเสมอไป


“ร้านอาหารหรูหราในห้าง ที่ขายดิบ ขายดี พนักงานวิ่งกันจนขาขวิด ยอดขายมหาศาล แต่หลังหักค่าเช่า ค่าพนักงาน ค่าวัตถุดิบจิปาถะแล้วอาจจะเหลือกำไรน้อยกว่า แม่ค้าขายส่งลูกชิ้น ที่ใช้วัตถุดิบแค่หมู เนื้อ ไก่ แป้ง เกลือ พริกไทย ที่ใช้เครื่องปั่น ตี ต้ม อยู่ที่โรงงานเล็กๆ นอกเมืองก็ได้”


Credit : Pixabay


นี่เป็นบทเรียนทางธุรกิจที่สหายท่านนึงเคยแนะนำทาร่ามา


“คนทำธุรกิจเค้าไม่ได้วัดกันที่บรรทัดแรก แต่เค้าวัดกันที่บรรทัดสุดท้ายจ้าาาา”


เหมือนกับร้านขายไก่ย่างร้านดังแห่งนึงในเมืองที่ทาร่าอยู่ ที่ขายดิบ ขายดี สั่งไก่มาวันละหลายร้อยตัว ขายได้เป็นหมื่นเหรียญ แต่เจ้าของกลับเป็นหนี้เค้าไปทั่ว จ่ายบิลช้าอยู่บ่อยๆ ทั้งค่าเช่า ค่าของ ค่าแก๊ส เรียกว่าทำธุรกิจกับใครก็จ่ายช้าให้ครบทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน (ไม่ต้องมีใครน้อยใจใคร) ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าเจ้าของร้านเอาเงินธุรกิจไปปนกับเงินส่วนตัวอ่ะสิ เห็นเงินเข้ามาวันละหมื่นก็เลยเอาไปซื้อนั่นซื้อนี่ พอบิลมาก็เลยไม่มีจ่ายรึเปล่า


จนวันที่ร้านปิดกิจการไป ความจริงถึงได้เฉลยออกมาว่า… เจ๊งเพราะค่าบริการแอปส่งข้าวนี่แหละ (คล้ายๆ Grab ที่ไทย แต่ที่นี่มีหลายค่ายเลยค่ะ ทั้ง Ubereats, Doordash, Menulog) ที่หักเยอะเกิ๊นนน พอหักค่าของ ค่าคน ค่าแก๊ส ค่าไฟ ค่าขยะ อะไรๆ อีกสารพัดแล้วกลายเป็นว่า ยิ่งขาย ยิ่งขาดทุน สุดท้ายก็เลยปิดไป ทิ้งหนี้สูญไว้ให้ร้านไก่ ร้านผัก ร้านข้าว บริษัทแก๊ส ไฟ น้ำแข็ง อื่นๆ ยกเว้น (อี) แอปส่งข้าวนี่แหละจ้าาา เก็บเงินลูกค้าไว้ก่อน เหลือแล้วค่อยให้ร้าน เลยรอดไป


กับอีกตัวอย่างนึงที่ทาร่าได้ยินคุณเอเท็น อานนท์ Prince of Marketing เล่าไว้บ่อยมาก คือ เรื่องที่ตัวเค้าเองเคยขายของโดยเน้นปริมาณ ทั้งลด แลก แจก แถม ให้บริการอย่างดี ลูกค้าก็เข้ามาเยอะแยะ และยังแนะนำเพื่อนๆ ให้มาซื้อกับเค้าอีก (ไอนี่มันถูกมากกก!!! แถมบริการดีด้วย!!) เพื่อนๆ เค้าก็เลยมาใช้บริการกันใหญ่ ในราคาสุดประหยัด สุดท้ายเลยกลายเป็นทำงานเหนื่อยแทบตาย แต่พอหันมาดูรายได้แล้วเข่าแทบทรุด…. น้อยจนต้องถามตัวเองว่า ผมทำไรผิดเหรอ?? ทำไมพระเจ้าไม่เข้าข้างคนขยัน?? 


Credit : Pixabay


จนเค้ามาได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่ให้เลิกโฟกัสที่จำนวนของลูกค้าได้แล้ว แต่ให้หันมาโฟกัสที่คุณภาพของลูกค้าแทน!! ขึ้นราคาสิ!!! ที่ตอนแรกคุณเอเท็นเค้าก็ไม่เชื่อ ขนาดลูกค้าเยอะ ขายดีขนาดนี้ ยังไม่เห็นกำไรเลย แล้วถ้าขึ้นราคาลูกค้าก็จะน้อยลง กำไรก็ต้องน้อยลงด้วยสิ 


แต่เค้าก็คิดได้ว่าวิธีการเดิมมันไม่ได้ผล แล้วคนที่แนะนำมาเค้าก็เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เค้าก็คงต้องรู้อะไรแหละ ลองเชื่อดูก็ได้ 


แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เค้าขึ้นราคา คือ ลูกค้าหายไปก็จริง คนที่หายไปก็เป็นคนที่ตามหาของถูกและไม่ได้เห็นค่าในบริการของเค้าเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มนึงที่อยากได้บริการดีๆ คำแนะนำดีๆ และยินดีที่จะใช้บริการต่อในราคาที่แพงขึ้น และก็ยังแนะนำเพื่อนๆ แบบเดียวกันให้มาใช้บริการคุณเอเท็นสิ 


คุณเอเท็นเคยถามลูกค้าของเค้าว่า…. แต่ผมได้เงินเยอะขึ้น แล้วทำงานน้อยลงนะ คุณไม่ว่าอะไรเหรอ? 


และสิ่งที่ลูกค้าเค้าตอบมาก็ได้เปลี่ยนทัศนคติในการทำธุรกิจของเค้าจนไม่สามารถกลับไปคิดแบบเดิมได้อีกแล้ว “ได้เงินเยอะ ทำงานน้อย แบบนี้สิดี คุณจะได้ทำงานอย่างมีความสุข งานก็จะได้ออกมาดี แล้วคุณก็ยังมีเวลาไปพัฒนาตัวเอง หาความรู้เพิ่มเติม เพื่อเอามาให้บริการผมให้ดีขึ้นไปอีก”


“แล้วถ้าคุณเก่งขึ้นกว่านี้อีก ผมก็ยินดีที่จะจ่ายคุณเพิ่มอีก” ประโยคนี้จำไม่ได้ว่าคุณเอเท็นเล่าไว้ หรือทาร่าคิดต่อให้เค้าเองในใจ เพราะความรู้สึกตอนที่ฟังเรื่องนี้ ทาร่าคิดแบบนี้จริงๆ นะ 


ทั้่งสามเรื่องที่ทาร่าได้ยินมาจากสามคน สามเวลา… แต่มันก็ช่วยให้สติแล้วก็ข้อคิดในการทำธุรกิจด้วยค่ะ อย่าสับสนระหว่างบรรทัดแรกกับบรรทัดสุดท้าย!!! เราไม่ต้องขายดีมากก็ได้ ขอแค่ให้มีกำไรมากๆ ก็พอ


เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ ที่ทำธุรกิจ SME เหมือนกันทุกคนนะคะ ส่งใจให้รัวๆ เลยค่ะ


💗💗💗💗💗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ


💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow