10 ธันวาคม 2564

หายซึมเศร้าได้ภายใน 1 นาที โดยที่ไม่ต้องกินยา

ทุกคนเคยเป็นไหมคะ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตมันน่าเบื่อ มีแต่เรื่องหดหู่ใจ ทำงานได้เงินเดือนชนเดือน ชักหน้าไม่ถึงหลัง ชักหลังไม่ถึงไหน ยิ่งสถานการณ์โควิดยังไม่จบ ทำให้เราใช้ชีวิตกันแบบไร้กำลังใจ จะบอกว่าภาวะนี้ไม่ใช่ว่าเราเป็นอยู่คนเดียว ทาร่าไปค้นข้อมูลเพิ่มเติม กรมสุขภาพจิตเค้าได้สำรวจภาวะซึมเศร้าในประชาชนคนไทย เดือนสิงหาคม 2564 ประชาชนมีความเสี่ยงต่อการเกิดความเครียด ภาวะซึมเศร้า มากกว่า 50.1% โห เยอะมากนะนั่น



วันนี้ทาร่าเลยจะมาแชร์วิธี หายซึมเซาได้ภายใน 1 นาที โดยที่ไม่ต้องกินยา เป็นเคล็ดลับที่ง่ายมากๆ หลายคนอาจจะไม่รู้กันว่าความรู้สึกที่เรารู้สึกกันตอนนี้ คือจิตใจ กับ ท่าทางที่เราแสดงออกมาให้คนอื่นเห็น คือ กายภาพ สองสิ่งนี้เชื่อมโยงกัน 



เช่น ถ้าเรา “รู้สึก” ซึมเศร้า ร่างกายเราก็จะ “แสดงออก” ซึมเศร้าด้วย (โดยที่เรารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม) เราจะอยากนั่งเฉยๆ ห่อไหล่ คอตก 


และยิ่งเราได้นั่งท่านี้ เราก็จะยิ่งรู้สึกซึมเศร้า 


เมื่อเรานั่งท่าซึมเศร้า เราก็จะรู้สึกเราจะนั่งท่านี้ 


เป็นเหมือนวงจรที่เรียกว่าไก่กับไข่ที่วนไปเรื่อยๆ จนเราเองก็ไม่รู้ตัว


ทีนี่ถ้าเราอยากหลุดออกจากวงโคจรนี้ทำยังไงคะ เราก็เอาไข่ไปต้มกินซะ (ง่ายขนาดนั้น ป๊าดดด 😁)  คือทำยังไงก็ได้ให้ไข่มันไม่กลายเป็นไก่ แล้วพอไม่มีไก่ เดี๋ยวมันก็ไม่มีไข่เอง





แล้วเราต้องทำยังไง? เราก็แค่ต้องตัดวงโคจรไข่กับไก่ แยก “ความรู้สึก” กับ “กายภาพ” ที่เชื่อมโยงออกจากกันก่อน ถ้าเรารู้สึกว่ามีอาการซึมเศร้า หดหู่ใจเมื่อไหร่ แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองไหลไปกับเก้าอี้ แล้วเข้าสู่ท่าประจำของเรา….


ลุกขึ้นมาเลยค่ะ!!


ลุกขึ้นมาทำอะไรคะ (ผู้อ่านอาจจะงง)


ลุกขึ้นมากระโดดตบ 20 ครั้งเลยค่ะคุณ 


กระโดดตบ 20 ครั้งจะช่วยเปลี่ยน “กายภาพ” ของเราให้หลุดออกมาจากวงโคจรไข่กับไก่ และสร้างวงจรใหม่ของคนที่มี “กายภาพ” แอคทีฟ และร่างกายจะหลั่งสารเอนโดฟินส์ออกมา ทำให้เรามีพลังงานและรู้สึกมีความสุข


“กายภาพ” ที่แอคทีฟจะต่อยอดไปยัง “ความรู้สึก” แอคทีฟ กลายเป็นวงจรไข่ไก่คู่ใหม่ที่เต็มไปด้วยพลังงานบวกๆ (แต่ก็อย่าไปบวกกับใครล่ะ 😅)


ด้วยวิธีง่ายๆ ทำได้ภายใน 1 นาที เราก็สามารถหลุดออกจากวงโคจรไข่กับไก่ของอาการ “ซึมเศร้า” ได้แล้วล่ะค่ะ




❤️🧡💛💚💙

ขอฝากผลงานอีกอย่างของทาร่าไว้ด้วยนะคะ ใครอยากตั้งเป้าหมายแบบจับต้องได้ และทำได้จริง เล่มนี้เหมาะมากๆ สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนชีวิต เสกชีวิตใหม่ได้ดั่งใจค่ะ 


สนับสนุนทาร่าได้ที่


📙📙📙


หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl
E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0
E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

ติดตามทาร่าได้ที่:

Youtube: tarathow







ทำไมเราควรตั้งเป้าหมายแบบไร้เหตุผล

เชื่อว่าทุกคนคงเคยตั้งเป้าหมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ เช่น เดือนนี้เราจะซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่ หรือ ปีนี้เราจะกลับบ้านมาฉลองกับครอบครัว ไปจนถึงเป้าหมายใหญ่ๆ เช่น ปีนี้เราจะต้องซื้อบ้านให้ได้ ทุกอย่างล้วนเป็นเป้าหมายในชีวิต


วันนี้ ทาร่า จะมาแชร์เรื่องราวของ Bob Proctor นักแสดงหลักจากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Secret ซึ่ง เป็นเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายของเรา ที่บ็อบได้บอกไว้ว่าสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ และอยากให้เราลองถามตัวเองว่าตอนนี้เป้าหมายของเรานั้นอยู่ในระดับไหนกันบ้าง



ระดับที่ 1 คือระดับ Common sense เป็นเป้าหมายระดับง่าย ๆ เป็นสิ่งที่เราทำได้ แล้วเราก็รู้อยู่แล้วว่าเราทำได้ เช่น เรารู้แล้วว่าถ้าเราทำงานแบบนี้ ทำผลงาน รายได้ให้องค์กรขนาดนี้ เราก็รู้อยู่แล้วว่าเค้าจะให้เราเลื่อนขั้นได้เงินเดือนเพิ่มมา 5% เราก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าปีหน้าเราจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 5%



เป้าหมายระดับที่ 2 เป็นเป้าหมายที่ออกนอก Comfort zone มานิดนึง ตั้งแบบให้เรารู้สึกท้าทายนิด ๆ แต่ก็ยังพอมองออกว่าเราจะต้องทำยังไงเพื่อให้ถึงเป้าหมายนี้ เช่น ถ้าเราอยากได้หารายได้เพิ่มอีกซัก 30% แน่นอนว่างานประจำเราไม่สามารถตอบโจทย์ได้แน่ๆ งั้นเราก็ใช้เวลาว่างช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ไปขายของที่ตลาดนัด หรือขายของออนไลน์ก็ได้ แบบนี้เรายังพอมองออกว่าจะต้องไปทางไหน เหลือก็แค่ลงมือทำเท่านั้น



เป้าหมายระดับที่ 3 เป็นเป้าหมายประเภท To the moon คือลอยไปไกลถึงดวงจันทร์ หรือดาวพุธไปเลยค่ะ เป็นเป้าหมายที่แม้แต่เราก็ยังมองไม่เห็นทางไปถึง เช่น ฉันอยากมีรายได้มากกว่านี้ 10 เท่า จะทำอะไร ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าจะต้องไปให้ถึงให้ได้ 



บ็อบบอกว่าเป้าหมายแบบที่ 3 นี่แหละที่จะเป็นตัวกระตุ้นศักยภาพ กระตุ้นจินตนาการ ความคิดนอกกรอบ การศึกษาเพิ่มเติม เพื่อหาทางทำให้เป้าหมายนี้เป็นไปได้ 


เป้าหมายแบบไร้เหตุผล หรือเป้าหมายแบบ To the moon นี่สำคัญมากๆ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้เป้าหมาย และเป็นกุญแจสำคัญที่พาเราไปถึงเป้าหมายก็คือ ตัวเรา! นี่แหละ


ใช่ค่ะ เราต้องกล้าที่จะตั้งเป้าหมายแบบไร้เหตุผลนี้ก่อน เช่น ฉันอยากมีรายได้มากกว่าเดิม 10 เท่า !!! 


เป้าหมายที่ไร้เหตุผล จะทำให้เราคิดแบบไร้เหตุผล ลงมือทำแบบไร้เหตุผล และสุดท้ายแล้วก็จะได้ผลลัพธ์แบบไร้เหตุผล ชนิดที่ตัวเราเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า เรามีศักยภาพถึงขนาดนี้เลยเหรอ จนบางครั้งพอเรามองย้อนกลับไปเราจะคิดว่าไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะเดินมาได้ไกลขนาดนี้ 


ว่าแล้วก็ขอฝากผลงานอีกอย่างของทาร่าไว้ด้วยนะคะ ใครอยากตั้งเป้าหมายแบบจับต้องได้ และทำได้จริง เล่มนี้เหมาะมากๆ สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนชีวิต เสกชีวิตใหม่ได้ดั่งใจค่ะ Power of Vision Board: เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ







📙📙📙


หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl
E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0
E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

❤️🧡💛💚💙

ติดตามทาร่าได้ที่:

Youtube: tarathow



06 ธันวาคม 2564

“เกาหลีใต้” ยุทธศาสตร์การทูตแห่งศตวรรษที่ 21

นึกถึงเกาหลีใต้ทุกคนจะนึกถึงอะไรคะ ยี่ห้อโทรศัพท์มือถือชื่อดัง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเผ็ดร้อน หรือ อาหารเกาหลีที่โด่งดังไปทั่วโลก สถานที่ท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ น่าไปเที่ยว วิวภูเขาหิมะที่อลังการ แหล่งช้อปปิ้งที่น่าไปตะลุยช้อป


แต่เบื้องหลังความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ข้างต้นที่ทำให้ GDP ประเทศเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เป็นภาพปลายทางที่ประสบความสำเร็จของรัฐบาลเกาหลีใต้ ผ่านนโยบายที่ชื่อว่า “ฮัน-รยู” หรือ “Hallyu” ซึ่งเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ.1990 



รัฐบาลเกาหลีใต้ทุ่มงบไม่อั้นผ่านวัฒนธรรมเกาหลีใต้ อย่างแรกๆ ที่คนไทยเริ่มเห็นได้ชัดคือ สมัยซีรีย์ Full House สะดุดรักที่พักใจ (ใครทันนี่ดักแก่เลย ฮา) ประสบความสำเร็จจนเกิดกระแส เรนฟีเวอร์ มาจนถึง นักร้อง Big Bang ,Wonder Girls ,Super Junior นักร้องเกาหลีรุ่นแรกๆ ที่ดังในไทยและดังไปทั่วโลก 



นักร้องนักแสดงเหล่านี้ไม่ได้มาฝากผลงานธรรมดาๆ ถ้าใครติดตามจะเห็นได้ชัดผ่านสื่อเลยว่ารัฐบาลพยายามแทรกซึมวัฒนธรรมประจำชาติอย่าง อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว เพื่อให้คนต่างชาติชื่นชอบและอยากไปเยี่ยมเยียนเกาหลี สร้างรายได้ให้คนในประเทศได้อีกหลายเท่า 



เมื่อไม่นานมานี้ ทาร่ามีโอกาสเข้าฟังงานเสวนาเรื่อง “วิธีการสอนภาษาไทยในบริบทของการสอนภาษาไทย ให้ชาวต่างชาติ” ที่จัดโดย คณะอักษรศาสตร์ ของจุฬาลงกรณ์ฯ อยากแชร์ข้อมูลให้ผู้อ่านได้เห็นภาพยุทธศาสตร์นี่กัน




ว่ากันว่า นโยบาย “ฮัน-รยู” มันเป็นส่วนหนึ่งแผนยุทธศาสตร์การทูตของเค้าเลยค่ะ การที่รัฐบาลเกาหลีใต้พยายามปลุกปั้น ดาราเกาหลี นักร้อง และตั้งใจส่งออกภาพยนตร์เกาหลี ซีรีย์เกาหลี ให้ดังระดับโลกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์การทูต



อ่านไม่ผิดเลยค่ะ



จากเดิมที่เราเคยคิดว่าเรื่องของการทูตเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล และจะต้องมีการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมกันในทุกๆ ข้อตกลง เช่น ถ้าไทยจะขอยกเว้นภาษีในการส่งออกข้าว อ้อย ข้าวโพด ทุเรียน ผลไม้ใดๆ ไปที่อเมริกา เค้าก็อาจจะขอแลกกับการที่เรางดเว้นภาษีนำเข้าสำหรับยา อาวุธ หรือสินค้าเทคโนโลยี อะไร ยังไงก็ตาม แต่มันคือการที่สองฝ่ายตกลงกันและแลกเปลี่ยนกันในระดับประเทศทั้งสิ้น


แต่รัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้กลับไม่คิดอย่างนั้นค่ะ เค้ากลับคิดว่า เค้าอยากที่จะขายอะไรก็ได้ที่อยากจะขาย โดยที่ไม่ต้องรอให้รัฐบาลกับรัฐบาลมาเจรจากัน 


ทั้งรามยอน ชานมไข่มุก ขนม เครื่องสำอางค์ อาหารเสริม การท่องเที่ยว มือถือ กล้องถ่ายรูป เครื่องซักผ้า เครื่องออกกำลังกาย รถยนต์ ยันแฟรนไชน์ปิงซู เรียกว่าอยากขายอะไรก็ขายได้เลยจร้าาาา ขายมันผ่านซีรีย์เกาหลีนี่แหละ




โดยการฝากภารกิจการทูตไว้กับ ท่านทูตหลายๆ คนในเวลาเดียวกัน ทั้งท่าน ลีมินโฮ กงยู ซอคังจุน ฮยอนบิน โดยการส่งท่านทูตเหล่านี้มาเจริญไมตรีกับผู้บริโภคในประเทศเป้าหมายก่อน 


แค่มาเปิดคอนเสิร์ตในไทยแล้วพูดว่า “สาวไทยน่ารัก” แค่นี้พวกเราก็ใจละลายพร้อมจะซื้อทุกอย่างที่ท่านทูตหน้าหล่อเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วล่ะค่ะ


คือ เริ่ดดดดดมากแม่ ทุกวันนี้เราจะเห็นเทรนด์ว่าสินค้าอิมพอร์ตจากเกาหลีใต้คือปังมาก ก็เป็นผลมาจากยุทธศาสตร์ “ฮัน-รยู” นั่นเอง



แล้วถ้าวันนึง ท่านทูต กงยู เลิกฮอตล่ะ 



ก็แค่ส่ง ท่านทูต ลีมินโฮ มาแทน หรือจะส่ง BTS มาแทนก็ได้ 



เรียกว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากความดังของดารา/นักร้องเพื่อให้สื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรงนั่นเองค่ะ



ทาร่าได้ยินเรื่องนี้แล้วก็รู้สึก “เปิดโลกไปอี๊กกกก” ว่าต่างประเทศเค้าก็คิดได้เนอะ เรียกได้ว่า คิดได้ลึกซึ้ง ซับซ้อน ฉีกตำราการทูตทิ้งไปเลย เปิดโลกทัศน์ ให้ได้เห็น “โลกอีกมุมนึง” เลยค่ะ


ขอฝากผลงานอีกอย่างของทาร่าไว้ด้วยนะคะ ใครอยากตั้งเป้าหมายแบบจับต้องได้ และทำได้จริง เล่มนี้ดีคือเหมาะมากๆ เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และสายเสกระดับโปรด้วยค่ะ

❤️🧡💛💚💙


สนับสนุนทาร่าได้ที่


📙📙📙


หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl
E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0
E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

ติดตามทาร่าได้ที่:

Youtube: tarathow



ประเทศไทย คนกลุ่มไหน ที่ (ยัง) ปลอดภัยจากโควิด

เมื่อไม่นานมานี้ ทาร่าได้คุยกับเพื่อนที่ซิดนีย์คนนึง เราคุยสารทุกข์สุขดิบกันทั่วไป และก็พลาดไม่ได้กับหัวข้อที่ต้องคุยอย่างสถานการณ์โควิดกับ “โอไมครอน” เจ้าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการพัฒนาให้ติดง่าย ติดดาย แถมยังไม่ค่อยแสดงอาการอีกต่างหาก


เพื่อนคนนี้เล่าอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร นางบอกว่าสื่อเค้าก็ขายข่าวไปเรื่อยรึเปล่า ญาติๆ พี่น้อง ของนางทุกคนยังสบายดีกันทุกคน ไม่มีทั้งผู้ป่วย ผู้เสี่ยง ไม่ต้องกักตัว ไม่ต้องปิดโรงเรียนใดๆ ทั้งสิ้น เด็กๆ ก็ยังวิ่งเล่นในทุ่งนากันอยู่เลย



หาาาา… ทาร่านี่ตกใจประหนึ่งว่านางไม่ได้อยู่ในประเทศไทยเดียวกับญาติพี่น้องของทาร่า




สถานการณ์ล่าสุดของประเทศไทยณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 คือ ผู้ป่วยติดเชื้อโควิดมากกว่า 4,000 ราย บางคนยังหาวัคซีนไม่ได้ ยังจองวัคซีนไม่ได้ หรือชุมชนในเมือง พอมีคนติดโควิส เคสโควิดจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว


แล้วเพื่อนของทาร่ามาจากส่วนไหนของประเทศไทย และมีวิถึชีวิตยังไง ทำไมโควิดไม่สามารถทำอะไรคนในชุมชนของนางได้



นางเล่าว่า หมู่บ้านที่นางอยู่ก็เป็นหมู่บ้านในต่างจังหวัดธรรมดาๆ นี่แหละ แบบที่ต้องนั่งรถสองแถวไปลงหน้าหมู่บ้าน แล้วก็เดินเท้าต่ออีก 3 กิโล ถึงจะเจอบ้านชาวบ้าน คนในหมู่บ้านก็มีปัจจัย 4 ครบ อาศัยกันอยู่แบบพอเพียง นางคุยกับน้องทีไร น้องก็บอกว่า




“ไม่มีอะไรน่ากังวล ข้าวบ้านเราก็ยังเต็มยุ้ง กินได้อีกนาน”


“หรือถ้าข้าวบ้านเราหมดก็ไม่เป็นไร แอบไปดูมาแล้ว ข้าวบ้านข้างๆ ยังเหลือเยอะ ไปยืมมากินก่อนได้ เดี๋ยวนาหน้าค่อยเอาไปคืนเค้า”


“บ่อหลังบ้านก็มีปลา อยากจะกินเมื่อไหร่ก็ เอาสุ่มไปจับ จะย่าง จะทอด จะนึ่ง ก็ว่าไป ยังไงก็ไม่อดตาย”


“ผัก ผลไม้ มีเต็มสวน ปลอดสารพิษ ปลูกเอง กินเอง สบายใจ ถ้าเบื่อผักบ้านเราก็เอาไปแลกกับผักบ้านเพื่อนก็ได้ แบ่งๆ กันกิน ไม่ต้องออกไปในตัวเมืองให้มันเสี่ยงกับเชื้อโรค”


“ในส่วนของเสื้อผ้านี่ พวกเราก็ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ทอผ้ากันเองได้ อยู่ในหมู่บ้านนี่แหละ”


“คือคนที่บ้านเราไม่จำเป็นต้องออกตลาดไปซื้อเนื้อหมู เนื้อไก่ มีอะไรก็กินอย่างนั้น ถ้าวันไหนเบื่อผัก เบื่อปลา วัว ควาย เราก็เยอะแยะ ไปล้มมาซักตัวนึงแล้วแบ่งกันกินในหมู่บ้านให้หายอยากก็ว่ากันไป” 

 


อ่านมาถึงบรรทัดนี้ทุกคนอาจตกใจว่าเฮ้ยมันยังมีหมู่บ้านแบบนี้อยู่หรอ ทาร่ายืนยันว่ามีจริงๆค่ะ แถมเพื่อนทาร่ายังบอกอีกว่า 


“ไม่ได้มีแค่หมู่บ้านเค้าหมู่บ้านเดียวด้วย!!! แต่รอบๆ หมู่บ้านเค้ายังมีชุมชนแบบนี้อีกเยอะเลย เป็นชุมชนที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้”


ถามว่าโควิดมีผลกระทบต่อเค้ามั้ย?? คือมันจะไม่มี๊.. ไม่มีเลยจริงๆเหรอ นางก็เล่าต่อว่า


“ก็มีคนรุ่นใหม่บางส่วนออกไปทำงาน ไปเรียนในเมืองบ้าง ถ้าอยากกลับมาในหมู่บ้านต้องมีการกักตัวตรงทางเข้าหมู่บ้านที่ห่างจากตัวบ้านคน 3 กิโล จนครบ 14 วันก่อน รอตรวจอาการ เช็กว่าปลอดโควิดจริงจึงสามารถเข้าไปในหมู่บ้านได้”


ฟังเพื่อนเล่ามาถึงตรงนี้ทำให้ทาร่านึกย้อนไปถึงพระราชดำริ ของรัชกาลที่ 9 ที่เคยตรัสไว้ถึงเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Sufficiency Economy” 


คิดถึงเรื่องเราเคยเรียนสมัยเด็กๆ ที่ครูบอกว่า “ประเทศไทยของเรา ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” มันเป็นอย่างนี้นี่เองเนอะ



ทุกวันนี้เราอ่านข่าว ฟังข่าวที่มันหดหู่ใจ ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ไวรัสกลายพันธุ์ เศรษฐกิจตกต่ำ บางอย่างเราคนเดียวเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้เยอะ แต่เราเปลี่ยนความคิดทัศนคติในการดำรงชีวิตให้เรามีความสุขได้ค่ะ เลยอยากแบ่งปันมุมดีๆ ของชาวบ้านบางกลุ่มที่ยังปลอดภัยและไม่ได้รับผลกระทบจากโควิดมากนักมาให้อ่านกันค่ะ


ส่วนใครที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มปลอดภัยไร้ผลกระทบใดๆ เหมือนชาวบ้านกลุ่มนี้ ก็รักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจ กันด้วยนะคะ ขอให้ทุกคนปลอดภัยและปรับตัวกับสถานการณ์นี้ได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วนะคะ



ขอฝากผลงานอีกอย่างของทาร่าไว้ด้วยนะคะ ใครอยากตั้งเป้าหมายแบบจับต้องได้ และทำได้จริง เล่มนี้ดีคือเหมาะมากๆ เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และสายเสกระดับโปรด้วยค่ะ

❤️🧡💛💚💙


📙📙📙


หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow
แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl
E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0
E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj
ติดตามทาร่าได้ที่
Youtube: tarathow


สับตะไคร้ โมเดลในการทำธุรกิจแห่งศตวรรษที่ 21

  

Subscription Business Model เป็นเทรนด์ธุรกิจที่มาแรงมากๆ ในศตวรรษที่ 21 มันคือการขายสินค้า หรือ บริการแบบระบบสมาชิกนั่นเอง โดยระยะเวลาจะมีทั้งรายเดือน รายปี นักวิเคราะห์บอกว่าเทรนด์ธุรกิจแบบนี้จะทำให้ธุรกิจคุณมีฐานลูกค้าที่พร้อมจ่ายเงินในระยะยาวอยู่ตลอดเวลา ฝากฝั่งของธุรกิจคุณสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลยว่าไตรมาสหน้า ยอดขายจะเท่าไหร่ 



“โมเดลธุรกิจนี้เป็นยังไง เจ๋ง แค่ไหน จะเป็นทางรอดให้คนทำธุรกิจรึเปล่ามาลองดูกันค่ะ”

 


ทาร่ายกตัวอย่างของธุรกิจ Subscription Business Model ระดับโลกที่เราคุ้นเคยกัน ส่วนใหญ่เป็นฟากฝั่งของการให้บริการดิจิทัล 


Netflix

Youtube

Gmail

Canvas

Dropbox

Adobe 

Audible 

Amazon


ใดๆ ล้วนๆ สับตะไคร้ เอ้ย ซับสคริปชั่น



“ส่วนใหญ่เค้าจะคิดเราเป็นรายเดือนเนอะ พอหารกันแล้วเดือนละไม่กี่ร้อยบาทมันก็ไม่แพง ผู้บริโภคพร้อมจ่าย”




ตอนนี้ทาร่าอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย เทรนด์ธุรกิจนี้มาแรงมาก ไม่ใช่แค่บริษัทดิจิทัลที่กล่าวมาข้างบนเท่านั้น แต่ที่พวกของใช้ ของกิน
ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่นี่ อย่าง Coles หรือ Woolworths ก็พยายามดันโมเดลนี้สุดฤทธิ์ โดยให้เราซับสไครบ์ในส่วนของค่าขนส่ง เดือนละ 19 เหรียญ เค้าก็จะมาส่งให้ฟรี (สั่งขั้นต่ำ $50) ซึ่งก็จะถูกกว่าค่าขนส่งปกติที่อยู่ที่ครั้งละ 10 - 12 เหรียญ



“ถ้าสั่งเป็นครั้งๆ แค่ 2 ครั้งก็ $20 แล้ว แต่ถ้าเราสับตะไคร้กับเค้าเดือนละ $19 ก็จะสั่งกี่ครั้งก็ได้ สำหรับคนส่วนใหญ่จะซื้อของเข้าบ้านอาทิตย์ละครั้ง เดือนนึงก็ 4 ครั้งแล้ว คุ้มกว่าเห็นๆ“



ไม่ใช่แค่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้น แม้แต่บริษัท “ไวน์” ที่นี่มีระบบซับสคริปชั่นเหมือนกัน มีหลายเจ้าด้วยค่ะ คือถึงเวลาก็ส่งให้เลยเดือนละ 1 โหล รับรองว่าบ้านเราจะไม่มีวันขาดไวน์แน่นอน แต่ก่อนที่จะส่งให้นั้นเค้าจะมีการทำแบบสอบถามก่อนว่า เราชอบไวน์แบบไหน ไม่ชอบแบบไหน ปกติที่บ้านทานอาหารประเภทไหน เน้นทานเนื้อสัตว์ เนื้อหมู ปลา ผัก ต่างๆ เพื่อเป็นการประเมินว่าเราเหมาะกับไวน์แบบไหน



ข้อมูลน่าสนใจที่ทาร่าอยากแชร์ต่อ อ้างอิงจากหนังสือ Subscribed: Why the Subscription Model Will Be Your Company's Future - and What to Do About It เขียนโดย Tzuo, Tien 




“ทุกธุรกิจบนโลกสามารถเปลี่ยนมาใช้ Subscription Model ได้หมดเลย ไม่ว่าคุณจะทำอะไรอยู่ก็ตาม” 


ยกตัวอย่าง เช่น ธุรกิจกำจัดแมลงสาบ ที่ออสเตรเลียถ้าเราเจอแมลงสาบตัวแรกโผล่ออกมา (ส่วนมากมันจะโผล่มาในช่วงฤดูร้อน) เราจะโทรไปเรียกให้บริษัทพวกนี้มาฉีดเพื่อกำจัดให้ ค่าเสียหายครั้งละ 200 เหรียญ หลังจากที่ฉีดแล้ว เราจะสามารถสบายใจไปได้ประมาณ 1 - 1.5 ปี หรือถ้าโชคดีก็ 2 ปี จนกระทั่งเราเจอแมลงสาบโผล่มาอีกครั้ง เราถึงจะโทรไปเรียกเค้ามาอีก 200 เหรียญ

(อันนี้ทาร่าคิดเอาเองนะ) ซึ่งถ้าบริษัทแนวนี้อยากจะเปลี่ยนมาใช้ subscription model ก็แค่เปลี่ยนจากลูกค้าขาจรที่ 1 บ้านอาจจะโผล่มาทุก 1 หรือ 2 ปีให้มาเป็นสมาชิก “บ้านไร้แมลงสาบ” อาจจะคิดค่าสมาชิกซักเดือนละ 15 เหรียญ แลกกับการดูแลปัญหาแมลงสาบให้บ้านหลังนี้ไปเลย ตราบใดที่เค้ายังจ่ายค่าบริการรายเดือนให้อยู่ ถ้าทำแบบนี้ตัวบริษัทเองก็จะได้รู้แน่นอนว่าตอนนี้มีบ้านอยู่ในความดูแลกี่หลัง ใครสมัครใหม่ ใครยกเลิก แล้วบริษัจจะมีรายได้แน่นอนเดือนละเท่าไหร่


ในทางกลับกันทางลูกค้าก็จะสบายใจได้ว่าเราจ่ายไปเดือนละ 15 เหรียญ เราจะสามารถเรียกเค้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องบิลใหญ่ และที่สำคัญเราสามารถคาดหวังได้ว่าทางบริษัทจะฉีดยา เคลือบยาให้อย่างดี และพยายามจะทำให้มันอยู่ได้ 2 ปี แทนที่จะต้องมาฉีดทุก 1 ปี วิน-วิน เห็นๆ




แม้กระทั่งบริษัทผลิตรถยนต์ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ Subscription Model ได้เหมือนกัน ยกตัวอย่าง เช่น BMW ที่ทุกวันนี้บริษัท (ที่ออสเตรเลีย) ก็แทบจะกินรวบทุกขั้นตอนของคนมีรถอยู่แล้ว ซื้อที่ศูนย์ BMW จะเช็ค จะซ่อมก็ต้องกลับไปที่ BMW อะไหล่ใดๆ ก็ต้องใช้ของ BMW เท่านั้น ถ้าใครไม่ซื้อสดและอยากจะผ่อนก็ผ่อนกับ BMW Finance ได้เลยเหมือนกัน


(อันนี้ทาร่าคิดเองนะคะ) ถ้า BMW ที่ออสเตรเลียจะเปลี่ยนมาใช้ Subscription Model ก็แค่เปลี่ยนจากผ่อนเดือนละ $1,700 เป็นเวลา 4 ปี มาเป็นซับสไครบ์เดือนละ $1,700 เท่าเดิม ให้รถคันเดิม แถมซ่อมฟรี ดูแลฟรี ให้ด้วยเลย ถ้ารถเสียก็จะหาคันใหม่มาให้ขับแทน เรียกว่าประสบการณ์ BMW ของลูกค้าจะเหมือนเดิมทุกอย่าง สิ่งที่ต่างออกไปคือลูกค้าไม่ต้องผ่อนให้ครบ 4 ปีเพื่อที่จะเป็นเจ้าของรถเพียง 1 คัน แต่จะสามารถใช้รถ BMW ไปได้เรื่อยๆ ตราบที่ยังจ่ายค่าบริการรายเดือนให้ศูนย์อยู่ และหากไม่ชอบคันนี้ก็อาจจะ upgrade หรือ downgrade plan เพื่อให้ได้รถที่ใหม่ขึ้น หรือใช้รุ่นเก่าลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของลูกค้าในตอนนั้นๆ



อีกตัวอย่างนึงที่ในหนังสือได้พูดถึง คือ บริษัท Gillette ซึ่งเป็นผู้ผลิตใบมีดโกนหนวดสำหรับท่านชาย ที่เป็นเจ้าแรกๆ เลยที่นำ Subscription Model มาใช้ คือเค้าให้คุณผู้ชายสมัครสมาชิกไว้เลยในราคาถูกๆ และทางบริษัทจะจัดส่งชุดใบมีดโกนให้ตามแพ็คเก็จที่เลือกไว้ แถมยังยืดหยุ่นตรงที่เราสามารถกำหนดได้เองว่าอยากให้เค้าส่งสินค้า ในช่วงเดือนไหน ตั้งแต่ทุก 1-6 เดือน และถ้ามีการสั่งซื้อครบ 3 ครั้ง จะได้รับสิทธิ์สั่งซื้อครั้งต่อไปฟรี แต่บริการนี้ยังใช้ได้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น




แม้กระทั่ง ปลาร้า น้ำปลา หรือเครื่องปรุงในครัว ทาร่าว่าเราก็น่าจะเอามาปรับใช้ได้นะคะ สำหรับคนที่มีธุรกิจอยู่แล้วและอยากจะหาไอเดียการทำการตลาดแบบใหม่ๆ ทาร่าว่า Subscription Model นี่ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจดีนะคะ และทาร่าคิดว่าเทรนด์นี้จะอยู่กับพวกเราอีกนานด้วยค่ะ สำหรับบทความของทาร่าไม่ต้องสับตะไคร้ เอ้ย ซับสไครป์นะคะ ผู้อ่านสามารถติดตามในฟรี ๆ ผ่านบล็อกนี้ค่ะ



ขอฝากผลงานอีกอย่างของทาร่าไว้ด้วยนะคะ ใครอยากตั้งเป้าหมายแบบจับต้องได้ และทำได้จริง เล่มนี้ดีคือเหมาะมากๆ เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และสายเสกระดับโปรด้วยค่ะ

❤️🧡💛💚💙


สนับสนุนทาร่าได้ที่


📙📙📙


หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow
แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl
E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0
E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

ติดตามทาร่าได้ที่:

Youtube: tarathow