08 กันยายน 2565

บทเรียนจากหนังสือ Who moved my cheese? 🧀 (ชื่อไทย: ใครขโมยเนยแข็งของฉันไป)

Who moved my cheese? เป็นหนังสือขายดีตลอดกาล ยอดขายรวม 24,000,000 เล่มจากทั่วโลกแล้วค่ะ และที่ดีงามมากๆ ดีงามที่สุดสำหรับหนังสือเล่มนี้ คือ มันสั้นมาก 😍 ภาษาก็เข้าใจง่าย เขียนแบบ story telling ไหลไปเรื่อยๆ ขนาดลูกชายเรา 10 ขวบอ่านจบแล้วยังตื่นเต้นเลย 


คลิปลูกชายทาร่าสรุปหนังสือเล่มเดียวกันค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=4i7lWn4BE-8


เล่มนี้สอนเราว่า “อย่ายึดติดกับความสำเร็จแบบเดิมๆ” ค่ะ


ชีวิตเราก็เหมือนเขาวงกตที่พาเราเดินวกวนไปมา เพื่อตามหาอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ งาน เงิน ความรัก ความสุข ชื่อเสียง เพื่อน สังคม หรืออะไรก็ตามที่เราตามหา หนังสือเล่มนี้เค้าเรียกมันว่า “เนยแข็ง” ค่ะ



และสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราก็คือ เราเดินในทางที่คดเคี้ยว เราหลงแล้ว หลงอีก และเมื่อไหร่ที่เราเจอกอง “เนยแข็ง” ขนาดใหญ่ เราจะจดจำเส้นทางนั้นไว้ และเราจะกลับไปที่เดินซ้ำแล้ว.. ซ้ำอีก….. เราเริ่มคุ้นเคยกับตำแหน่งและวิธีการได้มาซึ่ง “เนยแข็ง” กองนั้น


และเราก็ทึกทักไปเองว่า “เนยแข็ง” ทั้งกองเนี่ยะมันเป็นของเรา… โดยที่เราลืมคิดไปว่า….


จริงๆ แล้วใครๆ ก็สามารถเดินทางมาถึง “เนยแข็ง” กองเดียวกับเราได้ และเมื่อถืงตอนนั้นส่วนแบ่งของเราก็จะลดลง หรือ


🧀 “เนยแข็ง” ตรงหน้าเรามันอาจจะหมดอายุ ขึ้นรา หรือละลายหายไปด้วยตัวมันเองได้เหมือนกัน


🏆 “ความสำเร็จ” ในชีวิตเรามันก็เป็นแบบนี้แหละ วันนี้ขายดี พรุ่งนี้มีคู่แข่ง มะรืนนี้มีเทรนด์ใหม่มาแทน


คนที่จะมี “เนยแข็ง” กินตลอดไป ไม่ใช่คนที่เจอกอง “เนยแข็ง” คนแรก.. และไม่ใช่คนที่เจอ “เนยแข็ง” กองที่ใหญ่ที่สุด… แต่เป็นคนที่ไม่หยุดมองหา “เนยแข็ง” ต่างหาก นอกจากกองที่อยู่ตรงหน้าเราแล้ว ในเขาวงกตนี้ยังมี “เนยแข็ง” อยู่ที่ไหนบ้าง?? แล้วก็ต้องออกไปสำรวจพื้นที่รอบๆ ด้วยว่า มีใครกำลังมาทางนี้รึเปล่า?? รส สีกลิ่น มีอะไรเปลี่ยนไปรึเปล่า?? ทางเข้า ห้องเก็บ ปลอดภัยที่สุดรึยัง?? 


หนังสือสือเล่มนี้ทำให้ทาร่ารู้สึก “ตื่นรู้” และเปลี่ยนมุมมองของ “ความสำเร็จ” ในชีวิตตัวเองไปเลยค่ะ 


แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะ?? รู้จัก “เนยแข็ง” ของตัวเองดีพอรึยัง??


มาแชร์กันได้นะคะ


🤗🤗🤗🤗🤗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#โค้ชชิ่งด้วยNLPสะกดจิตบำบัดเส้นเวลาบำบัด


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


บทเรียนจากหนังสือ Who moved my cheese? 🧀 ของเด็ก 10 ขวบ

มีพี่คนนึงเคยยก “เจ้าชายน้อย” ให้เป็นสุดยอดวรรณกรรมที่อ่านทีไร ก็ได้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปทุกครั้ง แต่เอาจริงๆ ทาร่าว่าหนังสือทุกเล่มมันก็อย่างนั้นมั้ย?? ณ จุดนึงของชีวิต เราอาจจะกระแทกใจกับเนื้อหาบางตอนเป็นพิเศษ แต่พอย้ายไปอยู่อีกจุดของชีวิต มันก็ไปกระแทกใจกับเรื่องอื่น ประโยคอื่นแทน


หนังสือ Who moved my cheese? 🧀 (ชื่อไทย: ใครขโมยเนยแข็งของฉันไป) ก็เป็นอีกเล่มที่ทาร่ากับลูกชาย 10 ขวบอ่านพร้อมกัน ทาร่าสรุปบทเรียนที่ตัวเองได้ไปในบทความเมื่อวานนี้แล้วเนอะ


ส่วนวันนี้มาสรุปบทเรียนของลูกชายที่ได้มาจากหนังสือเล่มเดียวกันบ้าง


“เนยแข็ง” ในหนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนเป้าหมายในชีวิตของเรา อะไรก็ตามที่เรากำลังตามหามันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ เพื่อน สังคม ชื่อเสียง การเติบโตทางจิตวิญญาณ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มันมีค่าในชีวิตเรา… เราหวงมัน………. 


แล้ววันนึงมันก็หายไป !!!




แล้วเราก็จะวุ่นวายตามหามัน เราจะโทษนั่น โทษนี่ เราจะร้องไห้ฟูมฟายให้กับความโชคร้ายในชีวิตตัวเอง มันไม่แฟร์เลย !!! เราตะโกนบอกเจ้าโจรชั่วให้เอา “เนยแข็ง” มาคืนเดี๋ยวนี้นะ แล้วเราก็เฝ้ารอ “เนยแข็ง” ของเราอย่างมีความหวัง โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่า จริงๆ แล้ว……………..


คนที่ทำให้เนยแข็งหายไป ก็คือตัวเราเองนี่แหละ!!! 


ไม่ว่าเราจะทำอะไร หรือไม่ได้ทำอะไรก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วยก็คือความรับผิดชอบของเราอยู่ดี!!! “เนยแข็ง” ที่มันหายไป มันก็หายไปเพราะตัวเราเท่านั้น มีแต่เราเท่านั้นที่จะสามารถทำให้ “เนยแข็ง” ของเราหายไปได้ 


(ต่อให้มีคนอื่นมาขโมย “เนยแข็ง” ของเราไป มันก็ผิดที่เราอยู่ดีที่ไม่ระวังรักษา ไม่ได้จัดเก็บมันไว้ในที่ปลอดภัย.. หรือต่อให้มันละลายหายไปเพราะแสงแดด หรือปลิวไปเพราะสายลม มันก็ผิดที่เรา เรา และเราคนเดียวเท่านั้น!!)


แล้วคุณล่ะคะ?? 


ครั้งสุดท้ายที่ “เนยแข็ง” ของคุณหายไป… คุณให้เหตุผลกับตัวเองว่าอะไร?? 


ใครเป็นคนเอา “เนยแข็ง” ของคุณไป??


มาแชร์ความเห็นกันได้นะคะ


🤗🤗🤗🤗🤗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#โค้ชชิ่งด้วยNLPสะกดจิตบำบัดเส้นเวลาบำบัด


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow



06 กันยายน 2565

ยอดขายหายไป 23% แค่ลืมเล่าเรื่องนี้ 🥲

ที่โรงเรียนของทาร่าจะมีอบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติด้วยเดือนละ 1 ครั้ง คือ เราเป็นทั้งโรงเรียนที่สอนเองด้วย แล้วก็อบรมคุณครูด้วย และในคลาสอบรมถ้าคุณครูอยากได้สื่อการสอนชุดเดียวกับเรา ก็สามารถซื้อไปได้เลย

ไม่ว่าจะเป็นหนังสือแบบฝึกหัด เกมส์ และ การ์ดคำศัพท์ต่างๆ คุณครูไม่ต้องเสียเวลาไปทำเองแล้ว เรียนจบปุ๊บ ซื้อสื่อเราไป ก็สามารถเอาไปเริ่มสอนได้ปั๊บ เริ่มอาชีพใหม่ได้เลยทันที 


เรียกได้ว่าสอนออกเรือแล้วขายแหด้วย ครบเซ็ต จบที่เราเลย 😎


ทุกเดือนเราก็จะมีการทำสถิติไว้ว่า upsale ขายสื่อได้กี่ชุด ซึ่งปกติเราจะทำได้ดี แต่เมื่อ 2 เดือนก่อนค่ะ ยอดตก!! คุณครูที่มาอบรมซื้อสื่อของเราน้อยลงไป 23% อร๊ายยยยยยย!!! ทาร่ากับหุ้นส่วนเอาหัวชนกันเลย รอบที่แล้วเราพูดอะไรผิดไปเหรอ?? หรือมีอะไรที่เราเคยพูดแล้วรอบนั้นไม่ได้พูด?? 


แล้วเราก็ได้สมมุติฐานว่า………… หรือเพราะเราตั้งใจที่จะขายสื่อเพื่ออำนวยความสะดวกให้คุณครูมากเกินไป เราก็เลยเล่าแต่สิ่งที่เค้าจะได้รับ ความน่ารักตะมุตะมิ วิธีที่คุณครูจะเอาไปใช้สอนได้ แล้วก็เปิดโชว์ตัวอย่างความสำเร็จจากคนนั้นคนนี้ 


Credit:Pixabay 


และสิ่งที่เราลืมสอน คือ วิธีทำเองค่ะ!!! จริงๆ เราไม่ได้หวงวิชานะ ถ้ามีคนถามมา เราก็เล่าได้ แชร์ได้ หารูปจากไหน ใช้โปรแกรมอะไรทำ ที่เราเปิดอบรมคุณครู เราก็อยากจะให้คุณครูที่มาอบรมกับเราออกไปสอนไปสร้างรายได้ให้ตัวเองได้จริงๆ และคนเป็นครูกับสื่อการสอนมันก็เป็นของคู่กัน รุ่นก่อนๆ มีคนถามมาเราก็เปิด canva กับ wordwall แล้วทำให้ดูเลยค่ะ แต่รุ่นนั้นไม่มีคนถาม เราก็เลยไม่ได้ทำให้ดู และผลที่ออกมาก็ตามนั้นเลยจ้ะ


รอบหน้าเอาใหม่… ได้เวลาทดสองสมมุติฐานกันแล้ว!! นอกจากจะมีแหหายแล้ว ยังสอนวิธีทำแหให้ด้วย โชว์แบบละเอียดยิบเลย ให้เค้าได้เห็นว่ามันต้องผ่านกระบวนการอะไรมาบ้าง และถ้าคุณครูจะเอาไปทำเองมันจะยากลำบากและใช้เวลาแค่ไหน เตรียมชุดคำศัพท์กับไวยกรณ์ไว้ให้ด้วย แคปไปเลยค่ะ แล้วเอาไปทำเองได้เลย เราอยากให้คุณครูสอนได้จริงๆ มีรายได้จริงๆ นี่คือวัตถุประสงค์หลักของคอร์สอบรมของเราที่จัดขึ้นในทุกเดือน


และนี่ก็เป็น Key Success ในการ up sales ของโรงเรียนเราเลยค่ะ บอกให้หมด สอนให้หมด อย่ากั๊ก อย่าหวงอะไรทั้งนั้น… ยิ่งเค้าได้เห็นขั้นตอนอย่างละเอียดเท่าไหร่ เค้าจะยิ่งสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยยาก (หลังขดหลังแข็งจริงๆ นะกว่าจะได้มาแต่ละเล่ม แค่ค่านวดก็ไม่คุ้มแล้ว 😅) สุดท้ายก็ “ซื้อเอาดีกว่า” แล้วเอาเวลาอันมีค่าไปทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำแทนได้จะเป็นประโยชน์มากกว่า 


ปล. ใครสนใจสอนภาษาไทยเป็นอาชีพเสริมก็ทักมาได้นะคะ สอนทุกอย่าง ไม่หวงวิชา แถมมีสื่อการสอนอำนวยความสะดวกให้ด้วย อยากให้คุณครูออกไปหารายได้ได้เลยทันทีที่เรียนจบค่ะ



🤗🤗🤗🤗🤗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#โค้ชชิ่งด้วยNLPสะกดจิตบำบัดเส้นเวลาบำบัด


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow



แอดมินเราทำงานเร็วขึ้น 10 เท่า แค่ทำสิ่งนี้!!

เมื่อเร็วๆนี้โรงเรียนของเราเพิ่งรับแอดมินใหม่มาคนนึงค่ะ ด้วยตัวงานเป็นแบบ Work from home 100% คือเค้าก็ทำงานที่บ้านเค้า ทาร่าก็ทำงานที่บ้านทาร่า บ้านใครบ้านมัน อุปกรณ์ใครก็อุปกรณ์มัน ซึ่งพี่เค้าก็ทำได้ดีจนกระทั่ง… เราแชร์ไฟล์งานกันไม่ได้ ทาร่าเลยขอ access เพื่อไปจัดการกับอุปกรณ์ของเค้าหน่อย และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ทาร่าได้เห็นเครื่องคอมที่พี่เค้าใช้ทำงาน

อุ๊ต๊ะ!!! แค่เห็นหน้า Windows ก็รู้สึกว่าไม่ใช่แระ พอไปดูสเปคคอม โอ๊ยยยยยยยยย…ความเร็วแค่ครึ่งนึงของมือถือของทาร่า (หัวเหว่ย ซื้อมา 2 ปีแล้วนะ) นี่มันคอมตั้งแต่สมัยไหนเนี่ยะ!??!?!

พี่เค้าตอบมาว่า 10 ปี!! 

ทาร่านี่ตาเหลือกเลยค่ะ โรงเรียนเราเป็นธุรกิจออนไลน์ 100% ทำงานด้วยอินเตอร์เนต 4G (บางพื้นที่ก็เริ่มใช้ 5G กันแล้ว) แต่แอดมินของเรายังใช้ 3G อยู่ (เอ๊ะ!! หรือ 2G??) แต่ที่แน่ๆ คือมันช้ามากกกกก… ทาร่าบอกพี่ต้องซื้อเครื่องใหม่แล้วแหละ เราถึงจะทำงานกันได้

วันรุ่งขึ้นพี่เค้าโทรมาเลยค่ะ “ทาร่าคอมใหม่มันเร็วมากกกกกกกก!!! พี่คิดตามมันไม่ทัน 555”

Credit:Pixabay

เมื่อก่อนต้องกดแล้วต้องรอ งานก็ค่อยๆ ทำ พอคอมมันเร็วขึ้นแล้วมันก็บังคับให้พี่ต้องคิดเร็ว ทำเร็วขึ้นด้วย เหมือนหลุดออกมาจากอดีต เพิ่งรู้ว่าโลกปัจจุบันมันเป็นแบบนี้นี่เอง แต่พอผ่านไปซัก 1 อาทิตย์ พี่เค้าก็ชินแล้วปรับความเร็วตัวเองจนอยู่ในระดับเดียวกับคอมใหม่นี่แหละ เย้ 🥳🥳🥳

แล้วเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่กับแอดมินของโรงเรียนนะคะ ระดับเจ้าของกิจการก็เป็นค่าา.. หุ้นส่วนของทาร่านี่แหละ นางใช้ iphone 6 มาตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ เครื่องมันก็อึดถึงทนเกิ๊นนนน ไม่เสีย ไม่พัง ยังทำงานได้ดี นางก็ไม่รู้จะซื้อใหม่ทำไม จนกระทั่งมีผู้ชายมาเปย์ให้ค่ะ เปลี่ยนจาก iphone 6 มาเป็น iphone 13 เลยจ้าา.. ก้าวกระโดดมาก นางก็มาเล่าใหญ่ “เราไม่เคยรู้เลยว่าเดี๋ยวนี้มือถือมันเร็ว มันแรง มันช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้น เร็วขึ้นได้จริงๆ เม็มก็เยอะ รูปก็ชัด” 

โอ๊ยยย เห็นตัวอย่างมา 2 คนจนทาร่าทนไม่ไหว ไปจัดบ้างดีกว่า… คอมที่ใช้อยู่นี่แหละ!! 

เห็นคนในทีมอัพเกรดแล้วมันจ๊วด มันจ๊วด กันใหญ่ ทาร่าเลยซื้อเครื่องใหม่บ้าง (เครื่องเก่าอายุประมาณ 5 ปี ตอนซื้อนี่ก็ตัวท๊อปของ Microsoft Surface แล้วนะ) ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็น Lenovo รุ่นกลางๆ เอง แต่…….. 

เฮ้ยยยยยยยยยยยยย!!! มันแรงกว่า เร็วกว่า ใช้นิ้วจิ้มได้ ใช้ปากกาเขียนได้ด้วย แล้วชีวิตทาร่าเปลี่ยนตามทีมงานไปอีกคน 💃💃💃 

ตอนนี้เลยรู้แระว่าอุปกรณ์ไฮเทคพวกนี้มันอึดถึกทนก็จริง แต่รุ่นใหม่ๆ นี่มันก็ไม่ได้ใหม่เฉยๆ แต่สเปคกับการทำงานมันก็ดีขึ้นจริงๆ ใครที่ทำงานออนไลน์เยอะๆ ทั้งคอม ทั้งมือถือ ทาร่าแนะนำเลยค่ะ ไม่ต้องรอให้เสียแล้วค่อยเปลี่ยนใหม่ก็ได้นะ แค่ซัก 5 ปีขึ้นไปนี่ก็เห็นความแตกต่างแล้ว

ใครมีประสบการณ์คล้ายๆ กัน มาแชร์ได้นะคะ 

🤗🤗🤗🤗🤗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#โค้ชชิ่งด้วยNLPสะกดจิตบำบัดเส้นเวลาบำบัด


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow



31 สิงหาคม 2565

อายุ 25+ เรียนรู้ยากเย็น ต้องทำแบบนี้ค่ะ

มีใครเป็นเหมือนกันมั้ยคะพออายุเยอะๆ แล้วรู้สึกว่าเรียนรู้อะไรได้น้อยลง มันรู้สึกเหมือนไม่เข้าหัว!! เมื่อก่อนทาร่าก็ไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ได้แต่โทษความแก่ของตัวเอง จนกระทั่งมาได้ยินเรื่องนี้ใน spotify ช่อง Huberman Lab ของ Dr.Andrew Huberman นักวิทยาศาสตร์สมองที่เอาเล่าเรื่องวิทยาศาสตร์ยากๆ มาย่อยให้คนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ เข้าใจได้ง่ายๆ 

เค้าอธิบายไว้ว่า.. มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า นิวโรพลาสติกซิตี (Neuroplasticity) ถ้าแปลเป็นภาษาไทยคือ เครือข่ายที่โยงใยอยู่ในสมองค่ะ


ทาร่าอยากให้ผู้อ่านหลับตาแล้วนึกภาพตามค่ะ ในสมองเรามีเซลล์เป็นร้อยเป็นพันเซลล์ และมีสิ่งที่เรียกว่า Neuroplasticity ซึ่งเป็นเส้นเครือข่ายที่โยงใยอยู่ในสมองของเรา 


ในตอนที่เราเป็นเด็ก “ทุกอย่างคือความเป็นไปได้” เจ้า neuroplasticity ของเรามันก็เปรียบเสมือนเหมือนทุ่งนากว้างๆ ที่เราจะเดินจากไหนไปไหนก็ได้ จนกระทั่งเราเกิดกระบวนการเรียนรู้ เราเริ่มรู้ว่าในท้องนานั้นมันไม่ได้อุดมสมบูรณ์เท่ากันหมด ถ้าเราอยากได้ปลาต้องไปตรงนี้นะ ถ้าเราอยากจะเดินทางจากบ้านไปโรงเรียน เส้นทางที่เร็วที่สุดคือเส้นนี้นะ และเราก็เริ่มทิ้งรอยเท้าของตัวเองไว้ในนาผื้นนั้น และเหยียบย่ำไปทางเดิมทุกวัน ทุกวัน จนมันกลายเป็นเหมือนถนนเล็กๆ ขึ้นมา และก็มีพื้นที่บางส่วนที่ถูกลืมเลือนออกไปจากสติรับรู้ของเราไปโดยที่เราไม่ทันสังเกตุ




ฟันเราขึ้นครบตอนอายุ 18 ปี เราหยุดสูงตอนอายุ 18-20 ปีเหมือนกัน และหลังจากนั้นเราเริ่มกลายเป็นผู้ใหญ่ หลังจากนั้นร่างกายของเราหยุดเติบโต และพร้อมที่จะสืบพันธุ์ตอนอายุ 13-15 ปี 


และนักวิทยาศาสตร์เค้าก็วิจัยมาแล้วว่าสมองที่รับผิดชอบเรื่องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ของเราก็เหมือนกันค่ะ มันจะหยุดการเรียนรู้ตอนอายุ 25 ปี (ถ้าไม่เกิดอะไรบางอย่างขึ้น) และเข้าสู่โหมดการใช้ชีวิตจริงๆ ซักที (แกเรียนมาพอแล้ว ถึงเวลาต้องไปใช้ชีวิตบ้าง!!!!) 


ตอนเราเป็นเด็กน้อย สมองของเราก็เหมือนกับช่วงออกแบบเวลาจะสร้างบ้านอ่ะค่ะ มันเหมือนเราอยากสร้างบ้านสักหลังนึง แน่นอนว่าเราเริ่มจาก Draft ก่อน ในขั้นตอนนี้เรายังคุยกับสถาปนิกได้ว่า อันนี้ชอบ อันนั้นไม่ชอบ จะเพิ่มตรงนั้น จะลบตรงนี้ เราสั่งแก้ได้เพราะมันยังอยู่ในระหว่างการออกแบบ 


แต่หลังจาก 25 ปีมาแล้ว มันเหมือนเราได้เซ็นต์สัญญายอมรับแบบที่ draft ไว้แล้ว (เราแก้กันมามากพอแล้ว) ฉันโอเคแล้ว ฉันแก้จนพอใจแล้ว นี่คือแบบบ้านที่เราอยากได้และจะอยู่ไปจนแก่ เราเริ่มสร้างกันเลยดีกว่า เย้ เย้


และหากเราสร้างไปซักพักแล้วเริ่มรู้สึกว่าตรงนั้นไม่ใช่ ตรงนี้ยังไม่ชอบ การที่เราจะไปแก้หน้างานมันยากกกกกกกกก!! อยู่ดีๆ จะย้ายห้องน้ำจากชั้น 2 ไปไว้ชั้น 1 แบบมันก็กระทบกับท่อน้ำอีก กันน้ำที่ปูไว้ชั้น 2 ก็จะเสียเปล่า ตรงชั้น 1 ก็ต้องไปปูกั้นน้ำเพิ่มอีกรอบ พอจะนึกภาพออกมั้ยคะ เพราะมันไม่ตรงกับ draft ที่เราเตรียมไว้

Credit:Pixabay


ในชีวิตจริงเราก็เหมือนกันค่ะ ถ้าเราเชื่อว่าคนจะรวยได้ต้องทำงานหนักมากๆๆๆๆ มาวันนึงเราอยากจะรวยโดยที่ไม่ต้องทำงานหนัก มันก็จะไปพังตรงนั้น พังตรงนี้ (และมักจะจบไม่สวย) เพราะสมองของเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ และไม่ได้มีข้อมูลในการเรื่องนี้มาก่อน มันขัดแย้งกับความเชื่อเดิมที่เรามีมาตลอด 25 ปีแรกของชีวิต


และมันจะเป็นแบบนี้กับทุกๆ เรื่องที่เราพยายามจะเรียนรู้ ทั้งดนตรี กีฬา ภาษาใหม่ รวมไปถึงทัศนคติที่มีต่อผู้คน ความรัก ความสุข ครอบครัว งาน เงิน ความมั่งคั่ง มั่นคงในชีวิตด้วยเหมือนกัน… เรื่องไหนที่มันใหม่ เราจะรู้สึกฝืนไปหมด เพราะเจ้า neuroplasticity ของเรามันมีทางลัด ทางตรง ทางที่มันใช้บ่อยๆ ของมันอยู่แล้ว


ซึ่งเรื่องนี้ Dr. Andrew เค้าแนะนำไว้ว่า.. วิธีที่เราจะสั่งเจ้า neuroplasticity ของเราให้เปิดรับข้อมูลใหม่ๆ และเรียนรู้เส้นทางใหม่ๆ สร้าง link ใหม่ๆ ในสมองของเราได้ต้องทำแบบนี้ค่ะ


Credit: Dr.Andrew Huberman Via Facebook


1. ฝืนมันไปเรื่อยๆ ฝืนไปจนเรารู้สึกหงุดหงิด และเมื่อไหร่เราหงุดหงิด สมองของเราจะกลับมาตื่นตัวอีกครั้งว่า เอ้ย!! มันมีอะไรไม่ถูกต้อง เอ้ย!! อะไรกำลังเกิดขึ้นกับชีวิตเรา?? มันเหมือนการที่เราสร้างบ้านไปซักพักแล้วอ่านแพลนไม่รู้เรื่องอ่ะ เราจะกลับไปหาสถาปนิกอีกครั้งเพื่อถามว่า.. ตรงนี้แกเขียนไว้ว่าอะไรนะ?? แกเขียนมาผิดรึเปล่า??


2. ฝืนจนเลยจุดหงุดหงิดไปอย่างน้อย 10 นาที มันอาจจะฟังดูแปลกๆ หน่อยนะคะ แต่ช่วงเวลาที่สมองเรารับข้อมูลใหม่ได้ดีที่สุดเกิดขึ้นในตอนที่เราหงุดหงิดนั่นแหละ คนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องนี้แล้วหยุดไป ไอ้เรื่องใหม่ที่พยายามเรียนรู้อยู่ก็เลยไม่เข้าหัวซักที ครั้งหน้าลองใหม่นะคะ หลังจากหงุดหงิดแล้วให้ฝืนต่อไปอีก 10 นาที แล้วคุณจะแปลกใจกับผลลัพธ์ที่ได้ 😎


เพื่อนๆ อ่านแล้วคิดยังไง มาแชร์ความเห็นกันได้นะคะ ส่วนตัวทาร่าชอบเรื่องนี้มากๆ (ชอบ Dr. Andrew แหละ เค้าพูดอะไรก็น่าสนุกไปหมด) และพอเอามาปรับใช้ในชีวิตตัวเองก็รู้สึกว่าอะไรๆ มันเข้าหัวได้มากขึ้นจริงๆ ด้วยค่ะ


🤗🤗🤗🤗🤗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#โค้ชชิ่งด้วยNLPสะกดจิตบำบัดเส้นเวลาบำบัด


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


เส้นทางสู่หนังสือ Best Seller (ในต่างประเทศ) เค้าทำกันแบบนี้

เคยสงสัยมั้ยคะว่าทำไมนักเขียนดังๆ เค้าถึงรู้จักและเป็นเพื่อนกันหมด?? แล้วเค้ากลายมาเป็นเพื่อนกันเพราะเป็นนักเขียนชื่อดังเหมือนกัน หรือจริงๆ แล้วเพราะพวกเค้าเป็นพวกกันเลยกลายมาเป็นนักเขียนชื่อดังกันทั้งกลุ่มทั้งแก๊ง?? เรื่องมันเป็นแบบนี้ค่ะคุณ


เรื่องนี้ทาร่าได้ยินมาจาก Sophie Howard ในคลาส Kindle Publishing Income ค่ะ ซึ่งนางเล่าไว้ว่าข้อดีของการออกหนังสือ E-book คือเราทำครั้งเดียวแล้วก็ขายยาวๆ ไปเลย ไม่มีวันหมดอายุ ไม่มีต้นทุนอะไรเพิ่มอีกแล้ว เอาเวลาไปออกเล่มอื่นเพิ่ม และยิ่งเราออกเล่ม 2 3 4 5 เพิ่ม ใครที่ชอบผลงานเราเล่มไหนเค้าก็จะตามกลับมาอ่านเล่มเก่าๆ ของเราด้วย


ส่วนข้อเสียน่ะเหรอ?? การตลาดนี่แหละ สำหรับใครที่เป็นนักเขียนโนเนมก็จะขายได้น้อยและยากกว่าคนที่มีฐานแฟนอยู่แล้ว ส่วนวิธีที่เค้าใช้อยู่ก็คือ… ผนึกกำลังกับเพื่อนๆ นักเขียนที่อยู่ในสายงานเดียวกันค่ะ


ยกตัวอย่างเช่น ทาร่าทำนิยายแฟนตาซีซึ่งปีนึงออกได้ 1 เรื่องก็เก่งแล้ว แต่ระหว่างนั้นเราก็ต้องมีเพจ มีเฟสสาธารณะ แล้วก็มีการอัพเดทข่าวสารของนิยายตัวเองอยู่แล้ว ขอบคุณรีวิวบ้าง ขึ้นชั้นแนะนำที่เพจนั้นเพจนี้ มีหนังสือเสียงเพิ่ม ขายลิขสิทธิ์แปลเป็นภาษาต่างประเทศ หรือเดือนไหนขายดีๆ ก็ขอบคุณแฟนๆ ทุกคนที่ติดตามนิยายของทาร่าน้าาา… อ่อ แล้วก็อัพเดทผลงานเรื่องใหม่ไปเรื่อยๆ ประโยคไหนเด็ดๆ ประโยคไหนเป็นมีมก็เอามาลงเป็น snap shot ไปเรื่อยๆ ระหว่างที่เรื่องยังไม่จบ คืออัพเดทอะไรไปก็ได้เพื่อให้เพจ / สำนักพิมพ์ / นามปากกาของเรามีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

 

Credit : Pixabay


และสิ่งที่ Sophie Howard แนะนำเพิ่มก็คือ นอกจากจะโปรโมทผลงานของตัวเองแล้ว เรายังสามารถโปรโมทผลงานของเพื่อนได้ด้วย ช่วยๆ กันอวยยศ เชียร์หนังสือ ดันยอดขายให้หนังสือเพื่อนนี่แหละ โดยเฉพาะวันที่หนังสือออก!!


คุณอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ!! แล้วแบบนี้จะไม่ตีกันหรอ เดี๋ยวนักอ่านของเราก็ไปติดผลงานเพื่อนแทนสิ ?? คนจะอ่านงานเราน้อยลงมั้ย?? 


Sophie บอกว่าไม่ค่ะ เพราะในสายงานของนักเขียน ยังไงงานเราก็ช้ากว่านักอ่านอยู่แล้ว ทาร่าเคยเขียนเองเล่มนึง คนเขียนใช้เวลา 1 ปี คนอ่านใช้เวลา 3 ชั่วโมง ส่วนของเพื่อนทาร่าอีกคนเขียนนิยาย 30 เล่มใช้เวลา 3 ปี ทาร่าช่วยพิสูจน์อักษรใช้เวลา 1 ปี นักอ่านบางคนกวาดตาจบภายใน 1 เดือน และมันเป็นแบบนี้จริงๆ ค่ะ คนเป็นนักเขียนยังไงก็ไม่มีทางออกงานได้ทันนักอ่านอยู่แล้ว ทำไมเราไม่เชียร์ผลงานเพื่อนเราแทนล่ะ ???


Sophie เค้าใช้วิธีสร้างกลุ่มนักเขียนมาเลยค่ะ ในวันที่หนังสือใครซักคนเสร็จ เพื่อนๆ ทุกคนจะช่วยกันโปรโมทกันอย่างสุดพลัง ดันทุกช่องทาง เพื่อให้หนังสือเล่มนั้นได้ไปอยู่ใน best seller ของช่วงเวลานั้นๆ และ momentum ของหนังสือขายดีก็จะเริ่มขึ้น…. เมื่ออยู่ในชั้น best seller คนก็มีโอกาสเห็นมากขึ้น พอคนเห็นเยอะก็ซื้อเยอะ พอคนซื้อเยอะก็อยู่ใน best seller, recommended shelf ได้นานขึ้น… นักเขียนก็แคปหน้าจอไปโปรโมทหน้าเพจต่อได้อีก 


Credit : Pixabay


(แล้วพอเราติด best seller ที่เวบนึง เราสามารถแคปหน้าจอไปขอขึ้น หนังสือแนะนำ ที่เพจอื่นๆ แพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ด้วยนะ เรื่องนี้ Sophie ไม่ได้สอน แต่ทาร่าค้นพบด้วยตัวเอง 😁)


และในวันที่หนังสือของเราเสร็จ เพื่อนๆ ก็จะมาช่วยเราในแบบเดียวกันนี่แหละ!! ลองคิดดูนะคะว่าระหว่างที่หนังสือเรายังไม่เสร็จ ถ้ามีของเพื่อนเสร็จไป 10 เล่ม เราช่วยนักเขียนที่สนใจเรื่องเดียวกับเราโปรโมทไปแล้ว 10 คน และในวันที่เราออกหนังสือใหม่และมีเพื่อนๆ นักเขียนช่วยดันให้พร้อมกัน 10 คน ผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง??? แบบนี้มันจะไม่ขายดียกแก๊งยังไงไหว??


หูยยยยยยยยยยย… ทาร่าว่าวิธีนี้มันพาวเวอร์ฟูลมากๆ และเหมาะกับงานเขียนมากๆ ด้วย ทาร่าเองก็ทำงานเขียนอยู่ด้วย มีนิยายฟีลกู๊ด นิยายแฟนตาซี เรื่องเล่าแม่และเด็ก แล้วก็พัฒนาตัวเอง/ธุรกิจ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนอยากจะ collapse กัน (ทั้งคลิป ทั้งเขียน) ทักมาได้เลยนะคะ 


ยิ่งรวมกัน เรายิ่งโตไปด้วยกันค่ะ 


🤗🤗🤗🤗🤗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#โค้ชชิ่งด้วยNLPสะกดจิตบำบัดเส้นเวลาบำบัด


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow


17 สิงหาคม 2565

คำเตือน ระหว่างทางสู่การเป็น "ตัวเอง" ทุกคนจะต้องเจอเรื่องนี้!!!

ช่วงนี้ทาร่าหันไปทางไหนก็ได้ยินคำว่า Authenticity บ่อยมากๆ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็ประมาณว่า ปลุกความเป็นตัวเองในตัวคุณ ที่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องง่าย แต่จริงๆ แล้วมันทำยากมากเลยนะ เพราะอะไรรู้มั้ยคะ??

เพราะเราเองก็ไม่ได้รู้จักตัวเองมาตั้งแต่เกิด และเราไม่สามารถนั่งสมาธิและตรัสรู้ความเป็นตัวเองได้ด้วยตัวเอง แต่กระบวนการที่เราจะค้นพบตัวเองได้นั้นมาจากการลองผิดลองถูกค่ะ 


ตอนเด็กๆ เราอาจจะอยากเป็นลูกที่น่ารักของพ่อแม่ เราพยายามทำทุกอย่างให้พ่อแม่หัวเราะ รัก และเอ็นดูเรา และเราก็คิดว่านั่นเป็นเรา


เมื่อเราโตขึ้นมาอีกหน่อย เราก็เริ่มอยากมีเพื่อน อยากมีสังคม เราพยายามทำในสิ่งอินเทรนด์ และเราก็คิดว่านี่ต่างหากที่เป็นเรา


เราอาจจะมีไอดอล นักร้อง นักแสดงที่เราชื่นชอบ เราเป็นติ่งใคร ลงเรือลำไหน เราก็อยากที่จะเป็นแบบบุคคลต้นแบบของเรา โดยที่เราก็คิดว่าเรากำลังเป็นตัวเองอยู่


ต่อมาเมื่อเรามีแฟน ความเป็นเราก็อาจจะเปลี่ยนไปอีก


ความเป็นเราจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามประสบการณ์ที่เราได้หยิบใส่ตัวเข้ามา มันเหมือนกับเสื้อผ้าชั้นใน ชั้นนอก เครื่องประทับ ต่างๆ ที่เราใส่เพิ่มมาเรื่อยๆ บนตัวของเรา และเราก็เรียกเราในเวอร์ชั่นนี้ว่า “ตัวเรา” และเราก็จะมีเพื่อน มีคนรอบข้าง มีสังคม มีสิ่งแวดล้อมที่เค้า Back Up ความเป็นเราในแบบนั้น


Credit : Pixabay


จนวันนึงที่เราค้นพบว่า นั่นไม่ใช่เราอ่ะ!! อันนี้เป็นความฝันของพ่อแม่ อันนี้เป็นนิสัยที่เคยเราเคยคิดว่าเจ๋ง อันนี้คือทัศนคติที่เราทำเพื่อประชดแฟนเก่า อันนี้คือนิสัยที่เราทำเพื่อเอาใจแฟนใหม่ ในขณะที่เราพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของโลกภายนอก มันก็ไม่ต่างอะไรกับการปฎิเสธตัวเองและด้อยค่าโลกภายในของเรา 


ในวันที่เราตัดสินใจที่จะเป็นตัวเองอย่างแท้จริง สิ่งนึงที่เราทุกคนจะต้องเข้าใจและเตรียมใจไว้ล่วงหน้า คือ ในระหว่างที่เราถอดหน้ากาก เครื่องประดับ เสื้อตัวนอก นิสัยอินเทรนด์ ทัศนคติบางอย่างที่ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ ออกนั้น จะมีสิ่งหนึ่งที่เราต้องสูญเสียไปด้วย นั่นก็คือ เพื่อน สังคม และคนรอบตัวบางคน (หรืออาจจะหลายๆ คน)


ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่ถูกดึงดูดเข้ามาในชีวิตเราจากสิ่งที่เราเป็น อยู่ คือ ในตอนนั้น เพราะฉะนั้นในวันที่เราตัดสินใจที่จะกลับมาเป็นตัวเอง แน่นอนว่าเราก็ต้องถอดความเป็น อยู่ คือ ที่ไม่ใช่เราออกไปด้วย รวมถึงเพื่อน สังคม และคนรอบตัวที่มาพร้อมกับนิสัย บุคลิค ทัศนคติแบบนั้นด้วย


อย่าแปลกใจถ้าวันนึงคนพวกนั้นจะบอกว่าเราเปลี่ยนไป… เราไม่เหมือนเดิม……. และเดินออกจากชีวิตของเราไป…………….. เพราะนี่เป็นเส้นทางปกติของการเข้าสู่โหมด Authentic อย่างแท้จริง!!!


Credit : Pixabay

ทาร่าได้ยินเรื่องนี้มาจากไลฟ์ของคุณปอนด์ ยาคอปเซ่น ตอนที่คุยกับครูส้ม ณัฐวรา หงษ์สุวรรณ ทาร่ารู้สึกว่ามันเจ๋งมากๆ เลยค่ะ มันเป็นคำเตือนที่จริงแท้แน่นอนและไม่ค่อยมีใครพูดถึงเท่าไหร่ เลยอยากเอามาแชร์กับเพื่อนๆ ด้วย

ถึงทุกคนที่กำลังตามหาความเป็นตัวเอง ตามหาความ Authenticity อยากเป็น Real me อยากมีความสวยงามในแบบของเราเอง เราต้องยอมรับและทำใจไว้ล่วงหน้าเลยว่าสถานการณ์แบบนี้จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ และมันไม่ได้เกิดขึ้น กับเราคนเดียว แต่มันเกิดขึ้นกับทุกคนที่พยายามกลับมาเป็นตัวเอง

กอดค่ะ


🤗🤗🤗🤗🤗


เกี่ยวกับเรา


Tara Thow อ่านว่า ทาร่า โถว เป็นมนุษย์แม่ลูกสองอยู่ที่ซิดนีย์ สนใจศาสตร์พัฒนาตัวเอง ปรัชญา ธุรกิจ ครอบครัว รักเสียงเพลง ไวน์แดง และนิยาย


#เวิร์กช็อปกฎแรงดึงดูดสูตรวิทยาศาสตร์สมอง


#คอร์สธุรกิจออนไลน์เริ่มง่ายไม่ต้องใช้เงินทุน


#หนังสือเปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ


#สอนภาษาไทยให้เด็กๆที่เกิดต่างประเทศ


#อบรมครูสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ



💞 💞💞💞💞


ช่องทางในการติดตามเราจ้าา.. 😘


Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow


IG: tarathow


Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow


Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow


Blockdit 2: จุด by Tara Thow


Twitter: @tarathow


Blogspot: tarathow.blogspot.com


Tiktok: @tarathow


Line: @tarathow