15 มีนาคม 2565

บริหารเวลาง่ายๆ ด้วยเทคนิค Cluster

วุ่นนนนนนนจังโว้ย เคยอยากตะโกนคำนี้ออกไปดังๆ ไหมคะ (ถ้าตะโกนออกมาจริงๆ ไม่ได้ก็ตะโกนออกมาในใจก่อนละกันค่ะ) ทาร่าเคยเป็นคนแบบนั้นค่ะ วันนึงมี 24 ชั่วโมง แต่อยากให้มีสัก 30 ชั่วโมง เวลาไม่เคยพอ บางวันมีงานรออยู่เป็น 10 รายการ แค่เห็นก็ท้อแล้ว แต่ตอนนี้ชีวิตทาร่าดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ หลังจากได้ค้นพบคัมภีร์วิเศษขอเรียกแบบนี้เลยนะคะ 😘


หนังสือ The 4 - Hour  Work week (มีเล่มแปลภาษาไทยชื่อ ทำน้อยแต่รวยมาก) ของ

Tim Ferriss ที่ทาร่าชอบมาก เล่มนี้มีหลายประเด็นย่อย ๆ ที่สำคัญและเอามาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน อ่านเล่มนี้แล้วชีวิตทาร่าเปลี่ยนไปเลยค่ะ ชอบมาก เลิฟมาก เลยมาแชร์อีกรอบ 



🌟 1 ไอเดียที่ Tim Ferriss ได้แชร์ไว้ในหนังสือ ที่ทาร่าชอบมาก และคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนด้วย เทคนิคการบริหารเวลาด้วยวิธี Cluster ค่ะ



คำว่า Cluster เนี่ยไม่ได้มีแค่โควิดนะคะ 😅 แต่ cluster มันแปลว่าการกระจุกตัว การเป็นกลุ่ม เป็นก้อน และเมื่อเอามาใช้ในเรื่องการบริหารเวลา มันแปลได้แบบนี้ค่ะ



Credit:Pixabay


Tim เค้าบอกว่า ในชีวิตประจำวันเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาทำงาน เราจะมีงานหลายชิ้นแทรกเข้ามา คนทั่วไปพอตื่นขึ้นมา ต้องเช็คอีเมล์ ใครถามอะไรมา เราต้องตอบ แล้วสักพักนึง โทรศัพท์เข้ามา พอรับโทรศัพท์เสร็จ เราก็กลับไปตอบอีเมล์ต่อ 



แถมยังมีใบเรียกเก็บเงินมาแทบจะทุกวัน เพราะเราเป็นคนมีค่าค่ะ ค่าใช้จ่ายนั่นเอง (คำนี้ทิมไม่ได้บอกนะคะ ทาร่าบอกเอง 😆) เรามีใบเสร็จให้คอยจ่ายค่านู่น ค่านี่อยู่เรื่อย และปัญหาคือเราไม่ได้มีคนกรองงานให้ว่าอันไหนสำคัญ อันไหนด่วน และอันไหนที่รอได้ พูดง่าย ๆ คือเราไม่มีผู้จัดการส่วนตัว เราไม่มีคนจัดคิวให้นั่นเองค่ะ



ธรรมชาติของคนพอเราต้องเปลี่ยนจากงานนึงไปอีกงานนึง เราต้องตั้งสมาธิใหม่ สมองเราก็เหมือนคอมพิวเตอร์อ่ะค่ะ ต้องออกจากโปรแกรมนึง ไปเข้าอีกโปรแกรมนึง ออกจากโหมดบัญชี ไปสู่การตลาด การตลาดเสร็จกลับโหมดขาย ขายเสร็จ กลับมาดูแลลูกค้าต่อ แล้วยังต้องกลับมาทำดูแลบัญชีอีกรอบ แบบนี้แหละที่ Tim บอกว่าเป็นการบริหารเวลาที่ไม่มีประสิทธิภาพ!!!



เทคนิค Cluster ของ Tim บอกว่า งานหลายๆ อย่าง เราก็สามารถปล่อยไว้ก่อน และเก็บไว้ทำทีเดียวได้ เช่น กำหนดไว้เลยว่าฉันจะเช็คอีเมล์ แค่วันละ 3 ครั้ง เช้า เที่ยง เย็น อย่างละ 1 รอบ หลังจากที่เราไล่ตอบจนครบแล้วเราก็จะจบ task อีเมลและจะไม่เปิดมันแล้ว ถ้ามีอีเมลอะไรเข้ามาแทรกระหว่างนั้นก็ปล่อยไว้ก่อน เอาไว้ถึงเวลาแล้วค่อยกลับไปทำทีเดียว


Credit:Picxabay


เวลาจ่ายบิล ที่มีทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ ค่าโฆษณา จิปาถะ เราอาจจะ Cluster ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกันได้ เช่น เปิดตู้จดหมายแค่อาทิตย์ละครั้ง และจ่ายพร้อมกันทีเดียว แบบนี้ช่วยประหยัดเวลาให้เราได้เยอะเลยค่ะ



แม้แต่การทำอาหารสามารถใช้วิธี Cluster ได้นะคะ ตอนนี้ที่เมืองนอกนิยมมาก เมืองไทยก็เริ่มเห็นคนทำแบบนี้แล้ว คือการทำอาหารแบบ Meal Prep แค่อาทิตย์ละครั้ง แล้วเราก็แช่ตู้เย็นไว้ พอหิวก็อุ่นกิน อาจจะอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ก็จะช่วยประหยัดเวลาให้เราได้ค่ะ



สำหรับใครที่ชีวิตวุ่นวาย อยากหาเวลาให้ตัวเองเพิ่ม เพื่อจะได้ไปพักผ่อน ทำอะไรที่เราอยากจะทำ ใช้เวลากับลูก ครอบครัวบ้าง ลองเอาไปใช้กันดูนะคะ



Credit:Pixabay


นอกจากเทคนิคการบริการเวลาด้วยวิธี cluster แล้ว ทาร่ายังมีอีกหนึ่งเทคนิคในการไปถึงทุกเป้าหมายในชีวิต นั่นคือ การทำ Vision Board นั่นเอง ทาร่าเล่าตั้งแต่การเริ่มต้นทำ ระหว่างทำ ยันเคล็ดลับวิธีทำ จนประสบความสำเร็จ Vision Board เป็นอะไรที่ทำง่ายมาๆ และที่สำคัญได้ผล 💯 อยากให้ทุกคนได้ลองใช้จริง ๆ ค่ะ 



📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

Line: @tarathow








11 มีนาคม 2565

อยากน่ารักต้องทำยังไง

 🌵 ทุกคนเคยมีช่วงเวลาที่อยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม อยากสวยกว่านี้ อยากน่ารักกว่านี้มั้ยคะ มันต้องมีใช่มั้ยคะ เมื่อเร็วๆ นี้ มีรุ่นน้องทาร่าที่ทำงานอยู่ในวงการบันเทิง เห็นทาร่าทำคลิปพวก NLP, Coaching เธอเลยส่งคำถามมาว่า หนูต้องไปออกรายการทีวีบ่อยๆ พอทีวีออนแอร์ ทำไมรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยน่ารักเลย รู้สึกอยาก cute ได้อีก พี่ทาร่ามีเทคนิคอะไรมั้ย??


ทาร่าก็แบบ โอ๊ะ! งั้นต้องใช้วิธีนี้จ๊ะ เธอจ๋า สะกดจิตตัวเองไปเลยว่า ฉันน่ารัก!!! ฉันน่ารัก!! ฉันน่ารัก!!


วิธีการง่ายๆ แค่หลับตาแล้วคิดถึงช่วงเวลาที่เราน่ารัก (แน่นอนว่าคนเราอาจจะไม่ได้น่ารัก 24 ชั่วโมง) แต่มันต้องมี ช่วงเวลาที่เราน่ารักบ้างถูกไหมคะ นั่นแหละ ช่วงเวลานั้นที่เราต้องนึกถึงและนำมาใช้ในการสะกดจิตตัวเอง


ขั้นตอนต่อไปคือ ให้เราหลับตา แล้วคิดถึงความน่ารักของเรา ให้เราค่อยๆ ดึงความทรงจำจากช่วงเวลาที่เราน่ารักออกมา ให้เราหลับตา แล้วก็คิดไป 👉 เอ้อ ตอนนี้ไง 👉 เฮ๊ยยย ฉันน่ารักจัง 👉 แบบนี้ก็น่ารัก 👉 ให้ภาพในความคิดของเราฉายช่วงเวลานั้นซ้ำๆ เหมือนนั่งมองความน่ารักของตัวเองแล้วก็มีความสุขไปกับมัน 👉 เห็นว่าตัวเองน่ารักได้ขนาดนี้เลยเหรอ ให้เราคิดไปเรื่อยๆ คิดซ้ำๆ แล้วก็คิดให้ภาพใหญ่ขึ้น


Credit:pixabay


จนกระทั่งรู้สึกว่า 👉 เอ้ย เราก็น่ารักเหมือนกันนี่ (หว่า) 💘 แค่นี้ก็เหมือนการสะกดจิตตัวเองไปแล้วว่า เราเป็นคนน่ารักนะ ฉันทำอย่างนี้แล้วน่ารักชะมัดเลย แล้วสมองเราจะเรียนรู้โดยอัตโนมัติ ร่างกายเราของเราก็จะบันทึกการเรียนรู้นี้ไว้ และทำซ้ำอย่างเป็นธรรมชาติ จนเราเริ่มมีโมเมนต์น่ารักๆ ออกมามากขึ้น บ่อยขึ้น และเมื่อเรายิ่งรู้สึกชื่นชมความน่ารักของเรา ตอกย้ำความน่ารักของตัวเอง…. สมอง ร่างกาย และจิตใต้สำนึกก็จะยิ่งทำมันออกมาจนกลายเป็นวงจรอัตโนมัติของ “คนน่ารัก” ง่าย ๆ แค่นี้เองค่ะ



💢 การสะกดจิตตัวเองแบบนี้ไม่ได้ใช้ได้แค่เรื่องความน่ารักนะคะ แต่ยังใช้กับเรื่องอื่นได้ด้วย เช่น เราอยากเป็นคนแบบไหนล่ะ (มีวินัย กล้าหาญ ตรงเวลา พูดความจริง ใจเย็น รับฟังอยางเห็นอกเห็นใจ ฯลฯ) เราก็สะกดจิตตัวเองด้วยวิธีเดียวกันได้เลย 👉 แค่คิดถึงช่วงเวลา (อันน้อยนิด) ที่เรามีพฤติกรรมแบบนั้น แล้วก็นั่งชื่นชม ให้ความสำคัญ ให้รางวัลกับตัวเองในใจ ทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วเราจะแปลกใจที่เรามีพฤติกรรมแบบนั้นมากขึ้น บ่อยขึ้น จนรู้ตัวอีกทีนึง 👉 เราก็กลายเป็นคนแบบนั้นไปแล้ว 🥰


Credit:pixabay

💭 ทาร่าชื่นชมน้องมากเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ นางก็เป็นคนน่ารักอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากน่ารักกว่านี้ อยากดีกว่านี้ อยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ทาร่าว่านางสุดยอดไปเลยค่ะ!!! 


ทาร่าเองก็เป็นคนที่เชื่อในเรื่องของการพัฒนาตัวเองและพยายามจะ “เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นในทุกวัน“ เรื่องนี้ทาร่าเคยเล่าไว้ในหนังสือ Power of Vision Board ด้วยค่ะ มันชื่อ Excellence Theory (ทฤษฎีความยอดเยี่ยม) ที่บอกไว้ว่า….. สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อ“ความยอดเยี่ยม” ไม่ใช่ “ความยอดแย่” แต่เป็น “ความที่มันดีอยู่แล้ว” ต่างหาก


สำหรับใครที่อยากพัฒนาตัวเองในทุกๆ ด้าน ดึงศักยภาพของตัวเองออกมาให้มากที่สุด ทาร่าขอฝากเล่มนี้ไว้ในดวงใจด้วยนะคะ อ่านง่ายมาก ๆ จบภายใน 2 ชั่วโมง และที่สำคัญ มันได้ผล 💯



📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow






มาฝึกวิชาใจเบาด้วยกันค่ะ

มาฝึกวิชาใจเบาด้วยกันค่ะ


“วิชาใจเบา” เป็นวิทยายุทธที่ทาร่าได้รับการถ่ายทอดจากสามีทาร่าเองค่ะ 


สามีทาร่าเป็นผู้ชายที่สุขง่าย สุขดาย ใจเย็น (รักเด็ก รักสัตว์ รักต้นไม้ ใบหญ้า แมลง อ๊อยย ถ้าเรียกว่า ‘พ่อพระ’ ก็ดูจะอวยสามีตัวเองเกินไป แต่เรียก ‘พ่อคุณ’ นี่ไม่ผิดแน่ ๆ) และที่สำคัญ คือ ฮีเป็นคนใจเบามาก!! ตั้งแต่เกิดมาทาร่ายังไม่เคยเจอมนุษย์คนไหน “ใจเบา” เท่าสามีตัวเองเลยจริงๆ ค่ะ


ถามว่าใจเบา / ใจเย็นขนาดไหน คิดดูว่าถอยรถออกจากบ้านแล้วมีฝรั่งชูนิ้วกลาง พร้อมตะโกน F word ใส่ เค้าก็ยังขับต่อไปได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 😮


ทาร่าที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงกับอ้าปากค้าง “นี่เธอไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”


ฮีก็ยังตอบมาด้วยสีหน้าปกติ “ก็ไม่นิ ฉันทำในสิ่งที่ฉันควรจะทำ ตอนที่ถอยออกมา รถเค้ายังมาไม่ถึง ฉันก็เลยมองไม่เห็น ฉันก็ทำถูกแล้วนิ เค้ามาตอนที่ฉันถอยออกมาแล้ว เค้าก็ต้องรอ ก็ถูกแล้วนิ


อันนั้นมันก็ใช่ แต่ที่ทาร่าตกใจ คือ เค้าด่าเธอนะ เธอจะไม่รู้สึกอะไรหน่อยเหรอ และสิ่งที่สามีตอบมา ทำเอาทาร่าตกใจเข้าไปอี๊กกก…..


“ฉันไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะลดความฉลาดทางอารมณ์ของตัวเองลงไปเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับเค้านะ”


หูยยยยยยยย… ฟังแล้วก็เจ็บแทนผู้ชายคนเมื่อกี้เลยค่ะ นิ่งๆ แต่บาดลึกมาก!!! 💢 



Credit:Unsplash


ทาร่าทั้งรัก ชื่นชม เคารพ บูชา ความใจเย็นของสามีตัวเองมากกกก… ในขณะที่เจ้าตัวน่ะเหรอ?? ไม่รู้สึกอะไรเลยจ้าาาา… เค้าคิดของเค้าว่ามันก็เป็นเรื่องปกตินิ ‼️


และเค้าก็ยังมีแนวคิดแบบนี้มาให้ทาร่าเซอร์ไพรซ์อยู่เรื่อย ๆ (นี่ขนาดแต่งงานกันมา 15 ปี มีลูก 2 คน แล้วยังมีคำพูดคมๆ ปรัชญากริ๊บๆ มาให้ตกตะลึงอยู่บ่อย ๆ) มีครั้งนึงทาร่ามีเรื่องดราม่ากับเพื่อนค่ะ ใจเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่อีกฝ่ายนึงเค้ารู้สึกว่า เฮ้ย มันเรื่องใหญ่ร้ายแรง เค้าโกรธมาก โกรธถึงขนาดไม่อยากคุยกับทาร่าอีกแล้ว


ทาร่ากลับไปเล่าเรื่องนี้ให้สามีฟัง และฮีก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้านิ่งๆ เหมือนเดิมว่า “ก็ไม่เห็นมีอะไรนิ”


ทาร่าก็เถียงกลับไปว่า “มันจะไม่มีอะไรได้ยังไง ก็เพื่อนเค้าโกรธฉัน ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่ทำอะไร บลา ๆ ๆ ๆ”


สามีก็ให้สติมาว่า “ก่อนอื่นเธอต้องเข้าใจก่อนว่า…. เรื่องความโกรธเนี่ยะ มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล แล้วแต่ละคนก็จะมี “ปุ่มโกรธ” อยู่หลายๆ ที่ มีความ sensitive หลายระดับ ไม่เท่ากัน บางคนแค่แตะเบา ๆ ก็โกรธแล้ว บางคนโดนจิ้มซะแรงแต่ยังไม่โกรธก็มี บางคนแตะตรงนี้โกรธ บางคนแตะตรงนี้ไม่โกรธ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน… ขึ้นอยู่กับว่า….. เค้าเคยเจออะไรมาบ้าง”


อ่าฮะ ฟังดูสมเหตุสมผล แล้วยังไงต่อ


“ยูไม่เคยเห็นเหรอ บางคนก็โกรธง่าย โกรธดาย เหมือนมี “ปุ่มโกรธ” อยู่ทุกที่ ความ sensitive ระดับ 10  แตะนิด แตะหน่อย แค่หายใจผ่านก็โกรธแล้ว ยูไม่เคยเห็นเหรอ?? เพื่อนบางคนแค่เปิดไลน์อ่าน แล้วไม่ตอบ เค้าก็โกรธแล้ว บางคนถามในไลน์กลุ่มแล้วไม่มีใครตอบก็น้อยใจ ไม่นับเป็นเพื่อนแล้วก็มี…….


ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับยูแล้วล่ะว่า… ยูอยากจะเป็นเพื่อน อยากจะปฏิสัมพันธ์กับคนที่มี “ปุ่มโกรธ” อยู่ตรงนี้ในความ sensitive ระดับนี้อยู่รึเปล่า?? ถ้ายูอยาก ก็กลับไปขอโทษเค้าซะ แต่ถ้ายูคิดว่า เค้า sensitive เกินไป เราอยู่ใกล้ๆ ก็จะต้องระวัง จนไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ก็แค่ปล่อยเค้าไป ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย พวกยูก็แค่เข้ากันไม่ได้ ก็เลยห่าง ๆ กันไป แค่นี้เอง”



Credit:Pixabay


ทาร่าฟังแล้วก็สบายใจขึ้นเลยค่ะ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็คงจะเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ เปลี่ยนคนอื่นยิ่งไม่ได้ใหญ่ ใครที่ถูกจริตก็คบกันต่อไป ใครที่ไม่ใช่ก็ห่าง ๆ กันไป เหมือนสำนวนฝรั่งที่บอกไว้ว่า 


“to please everyone is to please noone - not even yourself” 


การจะทำอะไรให้ถูกใจทุกคน สุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นการกระทำที่ไม่ถูกใจใครซักคนเดียว ไม่แม้กระทั่งตัวเราเอง งื้อออ 😢


ตราบใดที่เราคิดว่า เราทำดีแล้ว เราทำถูกแล้ว ถ้าคนอื่นจะไม่พอใจบ้าง มันไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว แต่เป็นเรื่องของเค้าต่างหาก คิดได้แบบนี้แล้วทาร่าก็สบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ 🥰



ทาร่าหวังว่า “วิชาใจเบา” ที่ได้มาจากสามีจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ บ้างนะคะ ทาร่าขอส่งกำลังใจ 💕 ให้เพื่อนๆ ทุกคนนะคะ ขอให้ทุกคนได้เป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ มีคนที่รักและเห็นค่าเราอย่างจริงใจ และหากความเป็นเราจะขัดใจใครไปบ้างก็ขอให้ ‘ปล่อยวาง’ ให้ได้นะคะ  


นอกจากนี้ทาร่ายังมีอีกศาสตร์พัฒนาตัวเองที่รักมาก ๆ ใช้มาตั้งแต่ยังโสดจนลูกสองแล้ว และเป็นศาสตร์ที่พาทาร่ามาเจอกับผู้ชายใจเย็นคนนี้ (ใช่ค่ะ ทาร่าตั้งใจดึงดูดเค้ามาเองค่ะ 💝) นั่นก็คือ การทำ Vision Board นั่นเอง ทาร่าเล่าถึงวิธีการทำและการใช้อย่างละเอียด ทั้ง before, during, after ไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว อยากให้เพื่อนๆ ทุกคนได้อ่านกันนะคะ รักทุกคนค่ะ 💕



📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow







หาคำตอบจากจักรวาลง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว

ศาสตร์นี้ชื่อว่า “Alpha Mind Power” ที่เมื่อก่อนที่ออสเตรเลียเคยเปิดสอนค่ะ แต่อาจารย์ที่สอนที่ออสเตรเลีย (ชื่อว่า Paul B) มีเหตุให้ต้องหยุดสอนไป เพราะมีปัญหาลิขสิทธิ์กับเจ้าของหลักสูตร ที่เค้าไปเรียนมาจากอเมริกาอีกที 


ป๊าดดด… เคล็ดลับนี้เลยยิ่งดูขลังขึ้นไปอี๊กกก เพราะถึงขั้นเป็นคดีฟ้องร้องกันด้วย ทาร่าคิดว่าต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ โชคดีที่ทาร่าไม่ได้ไปเรียนมาจากอาจารย์โดยตรง แต่มีคนที่เค้าเคยเรียนมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และใช้มาเรื่อย ๆ จนถึงทุกวันนี้เอามาเล่าให้ฟังอีกที เลยคิดว่าน่าจะปลอดภัยที่จะเอามาเล่าต่อได้



Credit : unsplash

งั้นเชิญเพื่อน ๆ ไปค้นหาทุกคำตอบ ของทุกคำถาม จากจักรวาลไปพร้อมกันเลยค่ะ
🥳


วิธีการ คือ 


  1. ก่อนนอน ให้เราหยิบน้ำมา 1 แก้ว 

  2. ให้เราเอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้ 2 นิ้วมาติดกัน ทั้ง 2 ข้าง

  3. หลับตาแล้วก็ถามคำถามที่เราอยากรู้

  4. ดื่มน้ำครึ่งแก้ว และวางน้ำที่เหลือไว้ข้างหัวเตียง

  5. เช้าวันใหม่ ให้เราดื่มน้ำที่เหลืออีกครึ่งแก้ว และรอฟังคำตอบจากจักรวาลภายใน 24 ชั่วโมง


    Credit : unsplash


คำถามที่เราต้องการคำตอบจากจักรวาลจะเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ หรือเรื่องอะไรก็ได้ เช่น ผู้ชายคนนี้ใช่เนื้อคู่ของฉันไหม? เนื้อคู่ของฉันอยู่ที่ไหน? ฉันจะซื้อรถอะไรดี? ฉันจะทำงานนี้หรือจะหางานใหม่ดี? และอื่นๆ แล้วแต่คุณจะสงสัย


ส่วนคำตอบที่เราจะได้รับจากจักรวาลนั้นจะมาได้ในหลายรูปแบบ เช่น อยู่ดีๆ ก็ได้ยินคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาพอดี หรือเราขับรถไปข้างถนนแล้วเราเห็นรถป้ายทะเบียนตรงกับวันเกิดของเรา (รุ่นนี้แหละรถของเรา) หรืออาจจะมาทางวิทยุ ทีวี เฟสบุ๊ค ติ๊กตอก เพื่อนคุยกัน คนแปลกหน้าที่เดินผ่านแล้วเราก็ได้ยินคำนั้นพอดี หรืออาจจะเป็นความรู้สึก “ปิ๊งแว้บ” ขึ้นมาก็เป็นไปได้เหมือนกัน


ที่สำคัญ คำตอบมันจะมาภายใน 24 ชั่วโมง เราต้องตั้งใจฟังดี ๆ และเมื่อเราได้คำตอบแล้วก็อย่าลังเลสงสัย แต่จงเชื่อใจในคำตอบของจักรวาลได้เลย



ทาร่าเองก็ยังไม่เคยลองนะคะ แค่ได้ยินเค้าเล่ามา ก็เอามาเล่าต่อเลย หาเพื่อน 😁 


ใครลองเอาไปใช้แล้วได้ผลยังไง กลับมาเล่าให้ฟังหน่อยนะคะ 😘

 

ทาร่าเป็นคนที่ชอบสรรหาเคล็ดลับ ทางลัดสู่ความสำเร็จ สารพัด สารเพมากมากบอกเลย และในบรรดาทุกเรื่องที่ทาร่าได้อ่าน ฟัง เรียนรู้มาทั้งหมด ทาร่าชื่นชอบศาสตร์ Vision Board มากที่สุด 👉 แค่แปะภาพฝันที่เราอยากได้ อยากมี อยากเป็น ไว้ในที่ที่สามารถมองเห็นได้ทุกวัน แล้วก็ 🌟 ปิ๊ง!! รอพบกับความมหัศจรรย์ได้เลย ทาร่าเขียนหนังสือไว้ด้วยค่ะ เล่มนี้อ่านง่ายมากๆ แค่ 2 ชั่วโมงก็จบ และที่สำคัญได้ผล 1000% ขอฝากผลงานของทาร่าไว้ด้วยนะคะ 🙏❤️


📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow



08 มีนาคม 2565

ความหมายของคำว่าอุปสรรคที่ไม่ได้อยู่ในพจนานุกรม

เมื่อพูดคำว่า "อุปสรรค" หลานคนอาจจะเบ้ปากมองบน แล้วร้อง เง้อออ… ไม่อยากได้ ไม่อยากเจอ ไม่อยากมี เหมือนมันเป็นผี ที่ใครๆ ก็ต้องวิ่งหนี แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ!! กลับมาก่อน วันนี้ทาร่าจะมาอธิบายความหมายของคำว่า "อุปสรรค" ในอีกมุมมองนึกที่ทุกคนอ่านแล้วจะต้องพยักหน้าเห็นด้วย 


ไปกันเลยค่ะ 💃💃💃



ถ้าเริ่มจากพจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน ความหมายของ "อุปสรรค" คือ เครื่องขัดข้อง ความขัดข้อง ความขัดขวาง 



แต่ว่าจริงๆ แล้วคำว่า "อุปสรรค" ยังมีอีกความหมายนึง ที่ทาร่าไปฟัง/อ่าน/เรียนมาจากสำนักไหนก็จะไม่ได้แล้ว แต่อยากจะสรุปไว้ตามนี้ค่ะ



📌 "อุปสรรค" คือ ตัวเร่งในการเติบโต 



ถามว่ามันเป็นตัวเร่งในการเติบโตยังไง? มันเป็นอย่างนี้ค่ะ เพื่อนๆ เคยสังเกตมั้ยคะว่า เมื่อไหร่ที่ชีวิตของเราสุขสมบูรณ์ สบายกาย สบายใจ เราจะมีชีวิตอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย (Comfort zone) และจะไม่มีการเติบโตเกิดขึ้น



แต่..  แต่…. แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีอุปสรรคเข้ามา มันจะเป็นตัวจุดชนวนให้เราฉุกคิดได้ว่า "ไม่ได้นะ เราต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างนึง" และสุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะเลือกเปลี่ยนแปลงแบบไหน หรือวิธีใดก็ตาม ทาร่าก็เชื่อว่าจะนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น เหมือนสำนวนฝรั่งที่บอกว่า


Credit : Unsplash 


What doesn't kill you make you stronger.



ถ้า (อุปสรรค) มันไม่ทำให้คุณตาย มันก็จะทำให้คุณโต



🌈 ทาร่าขอยกตัวอย่างธุรกิจของทาร่าเองนะคะ ทาร่าเคยเปิดโรงเรียนสอนภาษาไทยให้เด็กๆ ที่อยู่ในซิดนีย์ค่ะ ออฟฟิศของเราอยู่ในเมืองเลย เรามีเด็กนักเรียนมาเรียนเพิ่มเรื่อยๆ โดยอาศัยการทำตลาดผ่าน Facebook เป็นหลัก แต่…. แต่……. เราก็สังเกตุเหมือนกันว่า นักเรียนของเราส่วนใหญ่จะเรียนได้ไม่นาน พอมาเรียนได้สัก 1-2 เทอมก็มักจะมีเหตุผลที่ต้องหยุดไป เช่น ไปเตะบอล ไปเรียนเต้น ร้องเพลง บางคนก็ต้องติวเลข ติวอังกฤษ บางคนก็หายไปเฉยๆ โดยให้สาเหตุว่าลูกไม่ชอบ คุณแม่ก็ไม่อยากบังคับ



ซึ่งในช่วงแรก เราก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ จนกระทั่งวันนึงมีผู้ปกครองท่านนึงเดินมาบอกตรงๆว่า คุณครูคะ ลูกเราเรียนแล้วไม่ได้ผลอ่ะ คุณครูวางแผนการสอนยังไงเหรอ?? ใช้หลักสูตรของที่ไหน?? และมีวิธีวัดผลยังไง?? ทั้งๆ ที่ลูกเค้าเป็นคนขยัน ตั้งใจเรียน เค้าเรียนวิชาอะไรก็ได้ผล แต่มาเรียนภาษาไทยที่โรงเรียนทาร่าแล้วไม่ได้ผล และไม่ได้มีแต่คุณแม่ที่คิดแบบนี้นะคะ ผู้ปกครองคนอื่นเค้าก็คิดเหมือนกัน!!! (บางทีก็เจอกันในลิฟท์ บางคนก็เป็นเพื่อนกัน บางคนก็เจอกันหน้าโรงเรียนระหว่างรอรับลูก) 



ตัวคุณแม่เองก็กำลังลังเลอยู่ว่าเทอมหน้าจะให้น้องเรียนต่อดีรึเปล่า (เพราะเรียนไปก็ไม่ได้ผล) แถมยังกระซิบบอกด้วยว่า คุณแม่เตือนด้วยความหวังดีนะคะ ถ้าโรงเรียนของทาร่ายังไม่มีการปรับปรุงหลักสูตร ต่อไปนักเรียนก็จะยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะทุกคนเค้าก็เอาไปพูดต่อๆ กัน และจำนวนเด็กไทยในซิดนีย์ก็ไม่ได้มีเยอะแยะอะไร ต่อไปทาร่าต้องเหนื่อยแน่ๆ 



โห!! เจอหมัดนี้เข้าไป ทาร่าน็อคไปเลยค่ะ ทาร่าเลยปรึกษากับหุ้นส่วนว่า “มีคอมเมนต์มาแบบนี้เราจะปรับปรุงยังไงได้บ้าง??” และเราก็สรุปกันว่า… งั้นก็ช่วยกันพัฒนาหลักสูตร!!! พวกเราเลยไปรีเสิร์ชกันว่าคนไทยที่เรียนภาษาใหม่ (อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส) เค้าเรียนกันยังไง?? ชาวต่างชาติที่ประเทศไทย เค้าเรียนจากที่ไหน ใช้หนังสือเล่มไหน หลักสูตรอะไรกัน?? รวมไปถึงหนังสือแนวภาษาศาสตร์ กับคำแนะนำจาก polyglot ที่เค้าพูดได้ 7-8 ภาษา บางคนพูดได้ถึง 15 ภาษา เค้ามีวิธีการเรียนรู้ยังไง??

 

Credit : Unsplash 

ช่วงนั้นเราทำการบ้านกันหนักเลยค่ะ ช่วยกันรวบรวม รื้อตำราใหม่หมด เปลี่ยนหลักสูตรใหม่ทั้งโรงเรียน ทั้งฟังพูดแล้วก็อ่านเขียน ตั้งแต่ beginner จนถึง advance และก็ได้ผลค่ะ พอหลักสูตรดีขึ้น เริ่มมีนักเรียนมากขึ้น เราเองก็พูดถึงหลักสูตรของเราได้อย่างมั่นใจ เพราะเรารีเสิร์ชมาละเอียดยิบ ครบทุกแง่มุม ทุกมิติ เท่าที่เราพอจะหาข้อมูลได้ พอเอามารวมกับประสบการณ์ที่เคยสอนแล้วไม่ได้ผลอีก…. กล้าพูดเลยว่าโรงเรียนของทาร่านี่แหละ คือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง!!!



(💢 เชื่อมั้ยคะ ว่าประสบการณ์การสอนยังไงให้ไม่ได้ผลก็เป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการพัฒนาหลักสูตรของพวกเรา เนื้อหาที่เราเอาออก เก็บไว้ และเพิ่มเข้ามา มันสำคัญเท่าๆ กันนี่แหละ)



แต่ก็ไม่ใช่ว่าหลักสูตรดีแล้วโรงเรียนเราจะราบรื่นไปได้นาน……… เทอมถัดไปก็มีอุปสรรคใหม่มาอีกค่ะ รอบนี้เป็นหุ้นส่วนเลิกกับแฟน โดนยกเลิกวีซ่า ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ซิดนีย์ต่อ หรือต้องกลับไทยภายใน 3 เดือน 6 เดือน หรือ 2 ปีก็ยังไม่รู้ เราเลยต้องมาวางแผนกันใหม่อีก งั้นพยายามย้ายทุกอย่างไปออนไลน์มั้ย?? ระหว่างที่โรงเรียนในเมืองของเราก็สอนไปเรื่อยๆ แต่เราก็เปิดสอนออนไลน์ให้เด็กๆ ที่อยู่นอกเมือง ต่างเมือง ต่างประเทศไปด้วย ต่อยอดจากหลักสูตร ฐานลูกค้า แล้วก็ชื่อเสียงของโรงเรียนในเมืองเรานี่แหละ แล้วถ้าวันนึงหุ้นส่วนต้องกลับไทยจริงๆ เราก็แค่ปิดสาขาในเมืองไป แล้วเหลือไว้แต่โรงเรียนออนไลน์ที่เตรียมไว้แล้ว



คิดไว้อย่างเริ่ดหรูว่า ถึงตอนนั้นเราจะขยายธุรกิจไปทั่วโลก ทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ อเมริกา สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมถึงเด็กๆ ที่นานาชาติ ก็สามารถกลายมาเป็นลูกค้าของเราได้หมด อู้ยยยย เริ่ดสะแมนแตนมาก แต่… แต่… พอ launch ออกไปจริงๆ แล้วมันช่างยากเย็นปานเข็นครกขึ้นภูเขา ผู้ปกครองก็ไม่เคยออนไลน์ เด็กๆ ก็ไม่คุ้น คุณครูก็ยังสอนไม่คล่อง ตอนนั้นยังไม่มี zoom ด้วย ใช้ skype กัน เรียกว่าทุลักทุเลเอาการเลยค่ะ



เดชะบุญ โควิดรอบแรกมาพอดี หุ้นส่วนติดอยู่ที่นี่จนเจอรักใหม่และได้กลับมาถือวีซ่าคู่ครองอีกครั้ง (เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย!!!) ส่วนเด็กๆ ก็ติดอยู่ที่บ้าน ทุกโรงเรียนหันมาสอนออนไลน์กันหมด ทุกคนรู้จัก zoom และใช้คล่องเหมือนเป็นของคู่กันกับเด็กยุคมิลลิเนี่ยม ผู้ปกครองที่หากิจกรรมให้เด็กๆ ทำ พอมาเจอเราก็ลงทะเบียนกันมารัวๆ เลยค่ะ จาก 30 ประเทศทั่วโลก อยู่ดีๆ โรงเรียนออนไลน์ของเราก็ take off ไปพร้อมๆ กับการปิดตัวลงของโรงเรียนในเมือง (ที่ไม่มีใครไปเรียนแล้ว ทุกคนเรียนจากบ้านกันหมด)


Credit : Unsplash 



แต่อย่าค่ะ อย่าคิดว่าการเดินทางจะจบแค่นี้ พอแก้ปัญหานึงได้ ปังอยู่แป้บๆ ก็เจออุปสรรคใหม่อีกแล้วค่าาา… คนทำธุรกิจออนไลน์น่าจะคุ้นเคยกับปัญหานี้ดี คือ อยู่ดีๆ Facebook Ads ก็เพี้ยน จากที่ยิงไปแล้วได้ลูกค้ารัวๆ มีอยู่ช่วงนึงคือตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไปเลยค่ะ จ่ายทิ้ง จ่ายขว้าง จ่ายจนใจหาย แล้วไม่ได้นักเรียนมาซักคน!!! ทาร่าก็ต้องมาปรับกลุ่มเป้าหมายใหม่ เรียนรู้วิธี SEO ทำเว็บไซต์ หัดเล่น IG Youtube ต่างๆ นานา และที่สำคัญ…. ไม่ได้ผลซักอย่าง!!! (ในตอนนั้นนะ)



สุดท้ายก็เลยกลับมาตั้งหลักที่ฐานลูกค้าเดิม จัดกิจกรรมให้เด็กๆ ผู้ปกครองมาไลก์ เม้นต์ แชร์ เพื่อให้เฟสบุ๊คเรียนรู้กลุ่มเป้าหมายใหม่ แล้วค่อยกลับไปยิงแอดอีกครั้ง



แล้วเฟสบุ๊คก็ปิดบัญชีแอด



แล้วก็ทะเลาะกับหุ้นส่วน



แล้วก็ทำงานเยอะจนหุ้นส่วนป่วย



แล้วทาร่าก็ป่วยด้วย



พอแก้ปัญหานึงได้ไม่นาน เดี๋ยวก็มีปัญหาใหม่มาอีก เหมือนเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนตาย ตลอดไป๊.. หากมีเรา จะมีนาย ร่วมทางไม่มีไหวหวั่นนน 😅



ทุกวันนี้โรงเรียนของทาร่ามีคุณครู 17 คน ทีมแอดมิน 6 คน นักเรียน 300 คน และคุณครูในเครือข่ายอีก 70 คนจากทุกทวีปทั่วโลก…. ถามว่าปัญหาหมดไปจากพวกเรามั้ย?? 



ตอบตรงนี้เลยว่าไม่ค่ะ 🥲 ตอนโรงเรียนเล็กๆ ปัญหาก็เล็กด้วย (คือใหญ่สำหรับเราในตอนนั้น แต่พอมองย้อนกลับไป เรื่องแค่นี้เองเหรอ) แต่พอโรงเรียนใหญ่ขึ้น ปัญหาก็ใหญ่ขึ้นด้วยจ้าาา



จนทำให้ทาร่าเข้าใจเลยว่า… ทุกปัญหา ทุกอุปสรรค มันคือ ตัวเร่งใน การเติบโต 



ทาร่าหวังว่าเรื่องของทาร่าจะเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ ที่กำลังเจอปัญหาเจออุปสรรคอยู่ตอนนี้ด้วยนะคะ 



🌈 จำไว้นะคะว่า ปัญหา คือ ตัวเร่งในการเติบโต เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณสามารถแก้ปัญหาได้ ธุรกิจ/ชีวิตของคุณจะเติบโตขึ้นอีกก้าวนึง

 


🌈 และคุณจะกลายเป็นคุณในเวอร์ชั่นอัปเดท นั่นก็คือ คุณคนเดิมแต่แกร่งและเก่งกว่าเดิม 😎



🎯 ทาร่าให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเอง พยายามหาแนวคิด ไอเดียใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ทาร่าเป็นคนที่ดีกว่าเดิมในทุกวัน และเทคนิคนึงที่ทาร่ารักมากๆ คือการทำ Vision Board ค่ะ นี่เป็นเครื่องมือที่ใช้ง่ายและได้ผล 💯 ทาร่าขอฝากผลงานของทาร่าไว้ด้วยนะคะ 😘



📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow