18 กุมภาพันธ์ 2565

แก้ปวด ตา คอ บ่า ไหล่ หลัง ข้อต่างๆ ด้วยศาสตร์ 1,000 ปีจากเมืองจีน

ใครนั่งหน้าจอคอมนานๆ หลายชั่วโมงแล้วปวดหลังเหมือนทาร่าบ้างคะ ทาร่าเป็นบ่อยเลยค่ะ แล้วก็บ่นกับตัวเอง จนเข้าหูคุณสามีคนจีน ฮีเลยกระซิบว่า (ทำไมต้องกระซิบ คือนางอยากทำให้มันเป็นเรื่องลึกลับค่ะ) 



“ยู!! ไอจะแชร์วิธีที่คนในครอบครัวทำเวลาปวดตา คอ บ่า ไหล่ หลัง ข้อต่างๆ เรียกได้ว่า ปวดอะไรมา แค่ทำวิธีนี้รับรองยูหายแน่นอน”



เอาสิ อะไรของเค้า แต่เราก็ลองฟังดู ทำตามก็ไม่เสียหายเนอะ แถมนางกระซิบมาว่านี่เป็นวิธีแก้อาหารปวดต่างๆ ที่คนจีนทำต่อๆ กันมา มากกว่าพันปี โอ้โห โม้ปะเนี่ย ลองดูค่ะ 



ป้าต้วนจิ่น (Ba Duan Jin) เป็นอีกหนึ่งศาสตร์ย่อยๆ ของจี้กง ที่มีหลายสายเลยค่ะ ทั้งสายศาสนา กังฟู หรือ ฝึกวิทยายุทธ เส้าหลิน ที่เราคุ้นเคยกันนี่แหละค่ะ แต่สำหรับที่ทาร่าพูดถึงในวันนี้ทำกันเป็นสายปรับสมดุลร่างกายเอาไว้ดูแลตัวเองนั่นเองค่ะ 





เทคนิคนี้เหมาะมากๆ กับมนุษย์หน้าจออย่างเรา เวลาเราใช้สายตาทำงานเยอะๆ แล้วเรา เมื่อยตา

หรือ เรานั่งนานๆ พิมพ์นานๆ หรือเดินนานๆ นอนนานๆ ยืนนานๆ แล้วเราเมื่อย เหนื่อย

ท่านี้ท่าเดียวสามารถจัด Balance ปรับสมดุลร่างกายได้หมดเลยค่ะ



อันนี้เป็นคลิปประกอบค่ะ



วิธีการง่ายๆ เพียงแค่

  1. ยืนตรงๆ 

  2. หันหน้าไปด้านขวาเพื่อมองส้นเท้าซ้าย

  3. หันหน้าไปด้านซ้ายเพื่อมองส้นเท้าขวา 

  4. ทำแบบนี้วันละ 4 ครั้ง


(ถ้ามองเห็นส้นเท้าฝั่งตรงข้ามได้จะดีมาก แต่ถ้าไม่เห็นส้นเท้าก็เปลี่ยนมามอง ขาล่าง ขาบน สะโพก แล้วแต่ว่าเราสามารถหันได้แค่ไหน)


สำหรับชาวเราที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างไปออกกำลังกายเนอะ แต่ขอแค่เรามีเวลาให้ร่างกายสักวันละ 10 นาที ลองหากิจกรรมการออกกำลังกายที่เราถนัด หรือ ชอบ เพื่อให้ร่างกายได้ขยับเคลื่อนไหวบ้าง ไม่ใช่ว่าเพื่อสู้โรค อย่างเดียวแต่เราต้องสู้กับโลกใบนี้ด้วยน้าาา





สำหรับเพื่อนๆ ที่เอาไปลองทำกันดู ได้ผลยังไง กลับมาคอมเม้นต์หน่อยนะคะ ทาร่ารออ่านอยู่เลยค่ะ 🥰


ปล. ศาสตร์การออกกำลังกายที่เราเห็นอาม่า อากง ออกกำลังกายกันเนี่ย เค้าเรียกว่า “ชี่กง” มีมากกว่า 3,000 รูปแบบ แต่ละรูปแบบก็มีความยากง่ายและ ประสิทธิภาพแตกต่างกันไป แต่สำคัญคือสามารถป้องกันที่ต้นเหตุก่อนการเกิดโรคได้อย่างดีเลยค่ะ เอาเป็นว่าลองนำกลับไปปรับใช้กันได้นะคะ 


และก็ยังมีอีกเทคนิคนึงที่ทาร่าใช้มาตลอด ใช้มาตั้งแต่โสดจนลูกสอง มันชื่อว่า “Vision Board” ค่ะ อันนี้ไม่ใช่เทคนิคการออกกำลังกายนะคะ เป็นเทคนิคการฝึกใช้พลังจินตนาการภาพ เพื่อดึงดูดให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ ให้ชีวิตของเราเป็นไปในแบบที่เราต้องการจริงๆ เล่มนี้ทาร่าตั้งใจเขียนจริงๆ รวบรวมข้อมูลจากทุกแหล่งที่สามารถจะหามาได้ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เอามาตกตะกอนให้อ่านง่ายๆ จบได้ภายใน 2 ชั่วโมง และที่สำคัญ 👉 ได้ผล 1000% 


Credit: Pixabay, wikipedia.org/wiki/Baduanjin_qigong

📙📙📙

 

หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางอื่นๆ ในการติดตามทาร่า:

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow 

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow 

IG: https://www.instagram.com/tarathow/ 

Blockdit 1: https://www.blockdit.com/tarathow1 

Blockdit 2: https://www.blockdit.com/tarathow2 

Blogspot: https://tarathow.blogspot.com/ 

Tiktok: https://www.tiktok.com/@tarathow 

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow








 




13 กุมภาพันธ์ 2565

วิธีเก็บเงินสำหรับคนที่ไม่มีเงินจะให้เก็บ

จั่วหัวมาแบบนี้ทุกคนคงจะงงว่า ทาร่าจะมามุขไหนอีก?? คือทาร่าเชื่อว่าตำราการเงิน ทุกศาสตร์ ทุกสาย ทุกแขนง กูรู ครู อาจารย์ทุกคนบนโลกใบนี้ สอนสูตรคล้ายๆ กันหมดแหละ ว่าเราต้องใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้ และพอเริ่มมีเงินเก็บ เงินออม พอเก็บได้เยอะขึ้น ก็ต้องรู้จักลงทุน แล้วเอากำไรที่ได้จากการลงทุนกลับมาลงทุนอีก เพื่อที่จะให้เงินมันเติบโตไปเรื่อยๆ เรียกง่ายๆ “ว่าให้เงินทำงาน” แทนเรา หรือที่ได้ยินบ่อยกว่านั้นก็คือคำว่า “Passive Income” อะไรก็ว่าไป


จนวันนึงเรามี Passive Income เยอะกว่ารายจ่ายที่เราใช้ทุกเดือน ถึงตอนนั้นเราจะมีสิ่งที่เรียกว่า “อิสรภาพทางการเงิน” จบปิ๊ง ง่ายๆ แค่นี้เอง


แต่เดี๋ยว!!!


ถ้ามันง่ายขนาดนั้น แล้วทำไมทุกคนถึงยังไม่รวย??



คหสต ทาร่าว่าหลายคนพยายามโฟกัสไปที่เรื่องของการลงทุนมากเกินไป ทำยังไงให้เงินก้อนน้อยของเราเติบโตได้เร็วๆ และสุดท้ายแล้วก็มักจะจบลงด้วยการสูญเสียเงินก้อนอันน้อยนิดนั่นไปตามทฤษฎีการลงทุนขั้นพื้นฐาน high risk, high return ที่บอกไว้ว่า… การลงทุนที่ปลอดภัยมักจะให้ผลตอบแทนต่ำ ส่วนการลงทุนที่ยั่วยวนนั้นมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น และนักลงทุนอาจไม่ได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน


สำหรับบทความนี้ทาร่าขอพาเพื่อนๆ มาติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกกันก่อนนะคะ แล้วทำยังไงเราถึงจะมีเงินต้นที่มากพอที่จะลงทุนในแบบที่ความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ยังได้ผลตอบแทนเพียงพอที่จะมาช่วยผ่อนแรงเราได้ (คือมีรายได้จากการลงทุนเข้ามาบางส่วน จนสามารถทำงานน้อยลงได้)


คือเราต้องเก็บเงินให้เป็นค่ะ!!!



เรื่องนี้ทาร่าได้ยินมาจากสัมนาสดของ Robert Kiyosaki เจ้าของหนังสือพ่อรวยสอนลูก (กราบ) หนังสือในดวงใจที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ทางการเงินให้กับหลายๆ คน รวมทั้งทาร่าด้วย 


โรเบิร์ตบอกว่า สิ่งที่เขาได้ยินบ่อยมากๆ คือ “ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้หรอก ทุกวันนี้ แค่เงินจะกิน จะใช้ ยังหา ไม่พอเลย จะเก็บเงินยังไง เอาเงินที่ไหนมาเก็บ”


*เนื้อหาต่อไปนี้อาจมีคำหยาบ มันเป็นจริตการพูดสดของโรเบิร์ตบนเวทีวันนั้น ไม่เกี่ยวกับทาร่าน้าาาา 😄


และสิ่งที่เขาตอบไปคือแบบนี้ค่ะ


“นั่นมันก็เรื่องของมึง มึงจะเก็บยังไงก็เรื่องของมึง แต่มึงมีหน้าที่ต้องเก็บให้ได้!!”


แล้วถ้ามีคนขอคำอธิบายเพิ่มเติม เขาก็จะตอบไปว่า…


“มึงต้องเก็บ!! เก็บให้ได้!!! เก็บให้เหมือนมีคนเอาขี้มาจ่อปาก แล้วถามว่า มึงจะเก็บเงิน หรือ มึงจะกินขี้ในมือกู??!!?”


แต่รายได้ฉันไม่มีเหลือให้เก็บจริงๆ หลายคนอาจจะคิดต่อในใจ


“เรื่องของมึง!! มึงแค่ตอบกูมาว่าว่ามึงจะเก็บเงินหรือกินขี้ก้อนนี้??”




เชื่อมั้ยคะว่าทันทีที่คุณตอบว่า…. เก็บเงิน… แล้วชีวิตส่วนที่เหลือก็จะจัดสรรจนลงตัวจนได้ เหมือนหลายๆ เรื่อง หลายๆ ครั้งที่คุณก็ผ่านมันมาได้โดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ



เช่น อยู่ดีๆ แม่ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลและต้องใช้เงินจำนวนหนึ่ง…. สำหรับคนที่ไม่เคยมีเงินเหลือเลย แล้วคุณผ่านมาได้ยังไง???



หรือลูกสอบติดมหาลัยชื่อดังและต้องใช้เงินลงทะเบียน….. พ่อแม่ที่ไม่ได้มีเงินก้อน แค่เดือนชนเดือนก็บุญแล้ว คุณจะทำยังไง??



หรือเคราะห์หามยามร้าย วันดีคืนดีดันขับรถไปชนใครสักคนนึง แล้วเราต้องซ่อมให้เค้า ไม่อย่างนั้นจะเป็นเรื่องเป็นราวไปถึงโรงพัก สุดท้ายแล้วคุณก็หามาจ่ายให้เค้าจนได้ ใช่รึเปล่า??


ถ้าสามตัวอย่างข้างบนยังไม่ช่วยให้คุณเห็นภาพที่ชัดขึ้นล่ะก็ ลองอ่านตัวอย่างข้างล่างนี้ต่อนะคะ


สมมุติว่าอยู่ดีๆ รัฐบาลขึ้นภาษี 10% รายได้คุณลดลง 10% ในทันที คุณจะทำยังไง??? 



แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะบ่น ก่นด่า สาปแช่งรัฐบาล แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็จะผ่านมันไปได้ และยังคงมีชีวิตอยู่ดีและมีความสุขได้ เชื่อสิ!!!


(แต่ถ้าอยู่ดีๆ ให้เราเก็บเงิน 10% จากรายได้ของตัวเอง เรากลับทำไม่ได้… ทำไม??)



เหมือนในช่วงโควิดที่ทุกคนโดนลดเงินเดือน ทาร่าเชื่อว่าทุกคนต้องคิดในใจว่า.. แย่แน่แล้ว!! อยู่ดีๆ จะมาลดเงินเดือนแบบนี้ เราจะอยู่ได้ยังไง?? เป็นไปไม่ได้หรอก ปกติก็เดือนชนเดือนอยู่แล้ว แต่พอบริษัทถามมาว่า………… หรือคุณจะลาออก???



สิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตก็เกิดขึ้นทันที… เราจัดสรรเงินในชีวิตเรายังไงก็ไม่รู้ แต่จู่ๆ มันก็อยู่ได้เฉยเลย 😅



เรื่องนี้ทาร่าเจอกับตัวเองเลยค่ะ ทาร่ามีบ้านเช่าหลังนึงที่ค่าเช่าลดไป 40% (จากอาทิตย์ละ $750 เหลือ $450) เรื่องนี้เป็นอะไรที่อยู่นอกเหนือจินตนาการมากๆ ตั้งแต่ลงทุนในบ้านเช่ามา ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นค่าเช่าขนาดนี้….. ในขณะที่ทาร่ายังต้องผ่อนธนาคารเท่าเดิม ไหนจะค่าน้ำ ค่าประกัน ค่าขยะ โน่นเสีย นี่เสีย ก็ยังต้องซ่อมให้เค้าเหมือนเดิม จากเดิมที่เคยเหลือค่าขนมนิดหน่อย อยู่ดีๆ ค่าขนมก็หายไปแถมยังต้องไปเอาเงินจากที่อื่นมาถมภาระตรงนี้อีก….. ไม่เคยเตรียมไว้เลยจริงๆ ค่ะ หนักหนาสาหัสมาก ทั้งพอร์ตลงทุนและชีวิตส่วนตัว



แต่สุดท้ายแล้วยังไงรู้มั้ยคะ??


ผ่านมาได้ยังไงก็ไม่รู้……….. รู้ตัวอีกทีทาร่าก็นั่งพิมพ์บทความนี้อยู่แล้ว และบ้านหลังนั้นก็ยังสบายดีอยู่ ยังไม่เคยขาดส่ง หรือโดนแบ้งก์ยึดไปแต่อย่างใด มันน่าประหลาดมั้ยล่ะ!?!?!? 


เพราะฉะนั้นวิธีการเก็บเงินสำหรับคนที่ไม่มีเงินจะให้เก็บ คือ เมื่อคุณได้เงินมาปุ๊บ เก็บก่อนเลยค่ะ!! เก็บให้เหมือนมีคนเอาขี้มาจ่อปากแล้วถามว่า “มึงจะเก็บ หรือ มึงจะกินขี้” แนวคิดแบบนี้อาจจะฟังดูโหดหน่อย แต่บางครั้งชีวิตเราก็ต้องเข้าสู่โหมดโหดกับตัวเองบ้าง ไม่ใช่เพื่อใครนะคะ เพื่อตัวเองนี่แหละ 😎


ทาร่าเป็นคนที่ชอบอ่าน ชอบเรียน ฟัง podcast ต่างๆ และพยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด เพื่อชีวิตที่มีสมดุลทั้งในด้านการเงิน การเงิน ความรัก สุขภาพ รวมถึงระดับความสุขในชีวิตด้วย และจากบรรดาสารพัดศาสตร์ที่ทาร่าได้ศึกษามา Vision Board เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทาร่ารักมาก มันช่วยเปลี่ยนชีวิตทาร่าจากคนธรรมดาให้กลายเป็นคนที่โชคดีตลอดเวลา ช่วยชุบชีวิตธุรกิจที่ขาดทุนหลักล้านให้กลายมาเป็นกำไรหลักล้านโดยที่ทาร่าทำงานแค่อาทิตย์ละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น


สำหรับใครที่อยากออกแบบชีวิตตัวยเองได้ ทาร่าขอแนะนำเล่มนี้เลยค่ะ


"Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow 

 

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางอื่นๆ ในการติดตามทาร่า:

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

Youtube: tarathow

IG: tarathow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow








08 กุมภาพันธ์ 2565

ตั้งราคายังไงให้เจ๊งชัวร์ ๆ

 เรื่องนี้ทาร่าได้ยินมาจากหนังสือชื่อ Tools of Titans ของไอดอลทาร่าเองค่ะ Tim Ferriss เจ้าของหนังสือ “the 4 hours work week” (ชื่อภาษาไทย “ทำน้อยให้ได้มาก”)




ส่วนหนังสือ Tools of Titans นี่เป็นเหมือนบทความรวมของ podcast ที่เค้าได้สัมภาษณ์คนที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ไว้หลายๆ คน แล้วก็เอามาสรุปออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้ และมีบทนึงที่ทาร่าชอบมากและอยากจะมาแชร์กับเพื่อนๆ คือเรื่องนี้เลยค่ะ





👉 ตั้งราคายังไงให้เจ๊งชัวร์ ๆ ???



และคำตอบมันอยู่การคาดเดาของทาร่ามาก เพราะเค้าบอกไว้ว่า…… ตั้งราคาถูก เจ๊งชัวร์!!! และเค้าไม่ได้ตอบแบบประชดนะคะ เค้าบอกแบบนี้จริง ๆ ถ้าเราอยากให้ร้านเราเจ๊งเร็ว ๆ คือ ตั้งราคาถูก ๆ ไปเลยค่ะ เอาแบบว่าต้นทุน $320 ขาย $350 ก็พอ แล้วก็คิดไปเองว่า…. อยากให้คนได้ซื้อของดีในราคาถูก….. แต่มันก็จะไม่มีวันนั้น!!! รู้มั้ยคะว่าทำไม???



เพราะถ้าเราตั้ง margin (กำไร) ไว้น้อยเกินไป เราจะไม่มีงบโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งดูแลลูกค้าของเรา !!!






ลองคิดดูนะคะถ้าคุณจะทำธุรกิจอะไรสักอย่าง คุณก็อยากประชาสัมพันธ์ ถ้าเป็นโฆษณาแบบ Offline ก่อน คุณต้องกราฟฟิคดีไซน์ (ใครออกแบบเองได้ก็ประหยัดไป ใครออกแบบเองไม่ได้ก็เป็นค่าใช้จ่ายแล้วหนึ่ง) ออกแบบเสร็จถ้าอยากจะปริ้นท์โบร์ชัวร์มาแจกนี่ก็ค่าใช้จ่ายอีกหนึ่ง จะไปแจกตามบ้านหรือแจกหน้าห้าง ถ้าต้องจ้างคนอื่นนี่ก็ค่าใช้จ่ายอีกหนึ่งนะ



ทีนี้คุณก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่า…. แล้วต้องขายให้ได้กี่ชิ้นถึงจะคืนทุน?? ไม่ใช่คืนทุนสินค้านะ แต่เป็นต้นทุนแฝงที่มาในรูปแบบของค่าดีไซน์เนอร์ ค่าปริ้นท์ และค่าแรงคนแจกโบรชัวร์นี่แหละ 



แค่การตลาด Offline อย่างเดียวก็ไม่พออีก ยุคนี้ต้องทำการตลาด Online ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ สำหรับธุรกิจใหม่ๆ ที่ไม่มีใครรู้จักด้วย ไหนจะ SEO ไหนปักหมุดลงกูเกิล ในเฟสก็ต้องยิงแอดโฆษณาอีก (ถ้ายิงไม่เป็น จะทำเองก็เหมือนเทน้ำลงบททราย จะจ้างคนอื่นก็เงินอี๊กกกก หรือจะเลือกไปเรียนเพิ่มนี่ก็เงินทั้งนั้นนาาา)






ดังนั้นเวลาทำธุรกิจ เราจะขายสินค้าหรือบริการสักอย่างมันไม่ได้มีแค่ต้นทุนกับกำไรเท่านั้น เพราะไม่ว่าสินค้าจะถูกและดีแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าไม่มีใครรู้ มันก็ไม่เกิดการขาย.. เพราะฉะนั้นเวลาตั้งราคาสินค้าหรือบริการใดๆ ก็ตาม เราต้องไม่ลืมที่จะบวกค่าป่าวประกาศเพื่อที่จะบอกให้โลกรู้ว่า “ฮัลโหลลลล… ของถูกและดีอยู่ตรงนี้ มาซื้อกันเร้ววว!!!”



และนี่ก็คือเหตุผลแรกที่ว่า ทำไมสินค้าดีราคาถูกถึงมีโอกาสเจ๊งสูงมาก เพราะยิ่งคุณตั้งราคาถูก มี Margin บาง คุณก็จะไม่มีงบมาทำการตลาด สุดท้ายก็ไม่ได้ขายแน่นอน 



ส่วนเหตุอีกอย่างคือเรื่องของการดูแลลูกค้าให้ประทับใจค่ะ สมมุติว่าสินค้าเราต้นทุน $320 แล้วขายแค่ $350 แล้วถ้ามีลูกค้าคนนึงมาซื้อแล้วไม่ชอบสินค้าเราอ่ะ?? หรือสินค้าเสียหาย?? ชำรุด?? เราจะทำยังไง?? ถ้าคืนเงินให้ก็ $350 (เท่ากับกำไร 11.67 ชิ้น) ถ้าเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่ก็ $320 (เท่ากับกำไร 10.67 ชิ้น) หรือจะปล่อยไปเฉยๆ นี่ความเสียหายก็แล้วแต่บุญแต่กรรมที่ทำมาเลยนะ



แต่ถ้าเราได้เผื่อ Margin ไว้บ้าง เราจะเปลี่ยน จะคืนเงิน หรือแถม Gift Voucher เพิ่มให้ด้วยก็ยังจะทำได้ (แน่นอนว่าเราจะบาดเจ็บจากลูกค้ารายนี้ แต่ภาพรวมของธุรกิจเราจะยังไม่กระทบมาก) และเราจะสามารถทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายได้ด้วย เช่น โปรโมชั่นประจำเดือนตามแพลตฟอร์มต่างๆ จะ 11.11 , 12.12 ซุปเปอร์เซลล์ วินเทอร์เซลล์ ซัมเมอร์เซลล์ คริสต์มาสเซลล์ เราสามารถดูแลลูกค้าเราได้ไม่ตกเทรนด์



อธิบายทฤษฎีมาถึงตรงนี้แล้ว ใครทำธุรกิจอยู่คงจะพยักหน้าแล้วเห็นด้วยกับทาร่าแล้วใช่ไหมคะ?? 







แต่ถ้าใครยังไม่เชื่อ ทาร่าขอแชร์ประสบการณ์ของตัวเองอีกเรื่องด้วยละกัน ทาร่าทำโรงเรียนสอนภาษาไทยให้เด็กๆ ที่เกิดต่างประเทศ เมื่อก่อนทาร่าเป็นแอดมิน ทำเองตั้งแต่คุยกับผู้ปกครอง บัญชี บทความ พัฒนาหลักสูตร ยิงแอด ส่วนหุ้นส่วนทาร่าเป็นครูก็สอนเองคนเดียวไป 80% !!!! และเราก็ตั้งราคาไว้แบบนั้นเลยค่ะ “ถูก ดี มีคุณภาพ” เข้าตำราทำธุรกิจยังไงให้เจ๊งเลยค่ะ



บางทีมีคุณผู้ปกครองส่งลูกๆ มาเรียน 2 คน มาขออยากให้โรงเรียนลดราคา // น้องๆ เรียนมา 3 ปีแล้ว ลูกค้าระยะยาวแบบนี้ไม่มีส่วนลดให้บ้างเหรอ // น้องบางคนก็เรียนอาทิตย์ละ 3 วัน ค่าใช้จ่ายแม่หนักมากเลยค่ะ // บางคนก็แนะนำเพื่อนมากเยอะมากๆ // แม้กระทั่งเพื่อนสนิททาร่าที่เป็นเจ้าของร้านอาหารไทย เวลาทาร่าไปกินร้านเค้า เค้ามีส่วนลดให้ทาร่าตลอด บางทีแถมไวน์ให้ด้วย นี่ส่งลูกมาเรียนภาษาไทยที่โรงเรียนทาร่า 2 คน……… บอกเลยว่ากลืนไม่เข้า คายไม่ออก เพราะไม่เคยคิดเผื่อเรื่องพวกนี้ไว้เลย คิดแค่ว่าทำงานกันเองสองคนงกๆ (กับหุ้นส่วน) อยากให้เด็กๆ ได้เรียนภาษาไทยในราคาไม่แพง สุดท้ายเป็นไงรู้มั้ยคะ??? 



สุดท้ายก็ทำกันเองไม่ไหว ต้องเอา margin อันน้อยนิดที่คิดว่าจะเป็นค่าแรงของเราสองคนไปจ้างคนอื่นมาช่วย แล้วเราสองคนก็ทำงานฟรีกันอยู่ 2 ปีเต็มๆ กว่าจะรอดพ้นวิกฤต “ถูก ดี มีคุณภาพ” มาได้ ต้องสะสมนักเรียนตั้ง 150 คน กว่าเราสองคนถึงจะมีเงินมาจ่ายค่าแรงตัวเอง



นี่ยังโชคดีนะที่ทำธุรกิจการศึกษาบวกกับมีหน้าตาที่อินโนเซ้นต์ เวลาผู้ปกครองขอส่วนลดมา (ที่เล่ามาข้างบนทั้งหมด) ทาร่าก็ตอบไปตรงๆ เลยค่ะว่าเราไม่ได้เผื่อ margin ตรงนี้ไว้เลย เราไม่รู้ว่าทำธุรกิจมันจะมีค่าใช้จ่ายแอบแฝงเยอะขนาดนี้ เราขอโทษจริงๆ ซึ่งผู้ปกครองก็เข้าใจและก็ยังสนับสนุนโรงเรียนเล็กๆ ของเราต่อจนมีวันนี้ (ปัจจุบันรายได้โอเค ทำงานโรงเรียนแค่อาทิตย์ละ 5 ชั่วโมง นอกนั้นก็มานั่งปั่นบทความสร้างตัวตนอยู่นี่แหละ 😅)



เรื่องนี้ก็อยากฝากให้กับทุกคนที่ทำธุรกิจ (รวมทั้งตัวทาร่าเองด้วยค่ะ) เป็นสิ่งที่จำใส่ใจเลยว่าเวลาเราจะทำธุรกิจเราต้องห้ามลืมค่าการตลาดกับงบดูแลลูกค้าเด็ดขาด!! ด้วยความหวังดีและจริงใจ ทาร่าขอให้ทุกคนไม่ต้องเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบทาร่านะคะ 



💐💐💐💐💐


Credit Photo : Pixabay

เป็นไงคะกับเคล็ดลับธุรกิจที่ทาร่านำมาฝากในวันนี้บอกเลยว่า เป็นอีกเคล็ดลับที่ง่าย ๆ แต่ถ้านำไปทำตามรับรองว่าปัง ธุรกิจไม่เจ๊งแน่ๆ แต่ถ้าอยากให้ธุรกิจปังมากกว่านี้ อยากให้ทุกคนลองอ่าน  "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" รับรองว่าถ้าอ่านแล้วเข้าใจนำไปทำตาม ชีวิตจะเป๊ะปังมากๆ ค่ะ 



 📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow



07 กุมภาพันธ์ 2565

มโนยังไงให้ได้ดั่งใจ

เคยไหมคะที่หงุดหงิดใจว่าทำไมเราถึงทำอะไรบางอย่างไม่สำเร็จ? ทั้งที่เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่อยากให้เกิด ทาร่าผู้จริงจังขยันเรียนก็ได้ไปเรียนวิชามาล้านแปด ทั้งเทคนิคการฝึกให้ใจเย็น วิธีรับมือกับความโกรธ ความเครียดต่างๆ เรียนมาอย่างดี คิดว่าได้ใช้แน่ๆ เพราะตอนเรียนมันไม่ยากเลย แต่พอเวลาเกิดเหตุการณ์จริง มันไม่ง่ายเหมือนในทฤษฎีอ่ะสิ เจอลูกกรี๊ดมา เราก็อยากจะกรี๊ดกลับไปบ้าง สุดท้ายเลยกลายเป็นแม่ลูกสลับกันกรี๊ดใส่กัน ต้องให้ปะป๊ามาช่วยเยียวยาเราทั้งคู่ 😅


แล้วเราจะแก้ปัญหาแบบนี้ยังไงไม่ให้เกิดขึ้นอีก??



ในศาสตร์วิชาโค้ชชิ่ง เรามีเทคนิคลับ (รึเปล่าไม่รู้) อยู่อย่างนึงที่เรียกว่า Mental Rehearsal หรือการซ้อมในใจ ที่นิยมนำมาใช้ในการฝึก high achievers (คนสำเร็จระดับโลก) ทั้งหลาย





ถึงขนาดมีการทดลองแบ่งนักบาสออกเป็นสองกลุ่ม โดยให้กลุ่มนึงซ้อมจริงๆ ซ้อมวิ่ง ซ้อมชู้ต และอีกกลุ่มนั่งเฉยๆและใช้วิธีซ้อมในใจแทน ว่าต้องวิ่งแบบนี้ ต้องชู้ตแบบนี้ และเมื่อลงแข่งจริง ผลปรากฎว่าทีมฝึกด้วยการซ้อมในใจชนะค่ะ!! ผลการทดลองนี้เค้าได้สรุปไว้ว่า.. เพราะการฝึกฝนในชีวิตจริง เรามีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งอารมณ์ จิตใจ ร่างกาย เพื่อนร่วมทีม และอีกสารพัด แต่ในโลกจินตนาการของเรา ทุกอย่างมันเพอร์เฟคไปหมด และเมื่อจิตใจของเราคุ้นชินกับความเพอร์เฟคแล้ว ร่างกายและผลลัพธ์ของเราก็เลยออกมาตามนั้นด้วย



วิธีการฝึกซ้อมในใจ (Mental Rehearsal) ไม่ได้ใช้แค่ในกลุ่มนักกีฬาเท่านั้น แม้กระทั่งในวงการนางงามก็ยังเคยมีให้ได้ยิน ทาร่าจำไม่ได้แล้วว่าใครที่มีนักข่าวถามว่า… รู้สึกยังไงตอนที่ได้รับมงกุฎ?? และนางก็ตอบไปว่าชั้นรู้สึกคุ้นเคยกับมันมาก เพราะก่อนหน้านี้ชั้นก็ได้รับมาแล้วเป็นพันๆ ครั้ง หรือเกือบจะหมื่นครั้งด้วยซ้ำ !!!





ไม่ใช่แค่วงการนักกีฬากับนางงามเท่านั้นนะคะ แม้กระทั่งในกลุ่มผู้ป่วย กลุ่มทหารผ่านศึกก็มีตัวอย่างให้เห็นจนนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะผู้ที่เป็น stroke (โรคเกี่ยวกับเส้นเลือดในสมอง) ที่ทำให้เดินไม่ได้ หรือพูดไม่ได้ เค้าก็แค่นั่งจินตนาการว่าตัวเองเดินได้ พูดได้ ทำซ้ำๆ วนไปเรื่อยๆ จนวันนึงร่างกายก็ตอบสนองออกมาตามที่สมองและจิตใจสั่ง 



โอเคค่ะ เราอาจจะไม่ใช่ high achiever ขนาดนั้น แต่เราทุกคน!!! สามารถนำเทคนิคเดียวกันนี้มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ อย่างทาร่าเอง ขอแค่ไม่ปรี๊ดเวลาลูกมาขอเงินเติมเกมนี่ก็นับว่าดีหนักหนาแล้ว





งั้นเราไปรู้จักเทคนิคนี้กันเลยนะคะ วิธีการง่ายๆ คือ


  1. จินตนาการถึงปัญหากวนใจ เช่น ลูกชายขอเงินไปเติมเกม

  2. จินตนาการว่าเราได้แก้ปัญหานั้นไปอย่างเพอร์เฟคมากๆ เช่น ยิ้มอ่อนแล้วตอบว่า “ลูกก็มีเงินรายอาทิตย์ของหนูอยู่แล้วนี่คะ ลูกรอถึงวันแล้วค่อยเติมเองนะคะ” แล้วก็ยิ้มอ่อนให้อีกครั้ง

  3. กลับสู่โลกปัจจุบัน หยิบมือถือมาเช็ค เปิดเพลงฟังซักเพลง กระโดดตบซัก 20 ครั้ง หรือวางแผนว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี

  4. กลับสู่โลกจินตนาการในข้อ 1 อีกครั้ง และวนไปเรื่อยๆ



ทายซิคะว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนที่ลูกชายทาร่าเดินมาขอเงินเติมเกมครั้งที่ 1 ของเค้า แต่ครั้งที่ 101 ของทาร่า ???



ใช่เลยค่ะ ยิ้มอ่อนแล้วตอบว่า “ลูกก็มีเงินรายอาทิตย์ของหนูอยู่แล้วนี่คะ ลูกรอถึงวันแล้วค่อยเติมเองนะคะ” แล้วก็ยิ้มอ่อนให้อีกครั้ง



ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?? ก็เพราะว่าเราเจอเหตุการณ์แบบนี้มาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า เจอจนเบื่อ ตอบจนชินชามาแล้วในจินตนาการของเรา พอมาเจอจริงๆ เราก็สามารถที่จะมีปฎิกริยาตอบสนองไปเหมือนที่ครั้งก่อนๆ ได้เลย โดยที่ไม่ต้องคิดอีกแล้ว



ด้วยเทคนิคเดียวกันนี้คุณสามารถเอาไปปรับใช้กับอะไรก็ได้ค่ะ ขับรถแล้วเจอคนแย่ๆ เหรอ?? รถติดแล้วหงุดหงิดเหรอ?? หรือแฟนเก่าที่มาตามงอนง้อเหรอ?? เราอยากให้ผลลัพธ์มันออกมายังไง ก็มโนไปก่อนเลยค่ะ ทำ 1 2 3 4 วนไปร้อยรอบ พันรอบ เดี๋ยวพอร้อบที่ 1001 มา เราก็จะมีปฎิกริยาตอบสนองไปเหมือนที่เราได้ซ้อมไว้เองแหละ 






นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทาร่าเล่าเองเฉยๆ นะคะ แม้กระทั่งคุณพอใจ พุกกะคุปต์ ก็เคยเขียนบทความลงใน Bangkokbiznews เรื่องเรียนรู้จากผู้นำ: เคล็ดลับการ “คิด” แบบนักกีฬาโอลิมปิก (1) วิธีการ Visualization ทำโดยจินตนาการว่า เรากำลังอยู่ในการแข่งขันกีฬาจริงๆ แล้วกำหนด “ภาพ” ในใจอย่างละเอียดละออ ให้เสมือนจริงที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้ทุกประสาทที่มี ทั้งภาพ รส กลิ่น เสียง ตลอดจนสัมผัสทุกการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ


เค้าบอกว่าพอทำแบบนี้เหมือนเรากำลังสั่งสมองและทุกอนูในกายให้จดจำทุกอย่างในจินตนาการ และไม่ว่าสมองของเราจะเก่งกาจขนาดไหน แต่ก็ไม่เก่งเท่าเจ้าของหรอกค่ะ เมื่อเราจินตนาการได้อย่างสมจริงบ่อยๆ เข้า สมองจะเริ่มเชื่อเราค่ะ หรืออีกนัยหนึ่ง สมองไม่สามารถแยกแยะระหว่างภาพที่เกิดจริง หรือสิ่งที่เรา “มโน” ได้ เพราะฉะนั้นทำไมเราไม่มาฝึกที่จะ “มโน” ให้ได้ดั่งใจล่ะ



นอกจากเทคนิค (ลับ) มโนยังไงให้ได้ดั่งใจแล้ว ทาร่ายังมีศาสตร์การทำ Vision Board ที่ทาร่าลงมือศึกษา ปฎิบัติจริง จนทำให้ชีวิต เป๊ะปัง มาแล้ว ทาร่ามั่นใจมากๆ เล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนค่ะ



📙📙📙

 

หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางอื่นๆ ในการติดตามทาร่า:

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

Youtube: tarathow

IG: tarathow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow