17 มีนาคม 2565

สูตรลับชีวิตดี๊ดี “ผ่อนบ้านให้หมดไว” ที่ธนาคารไม่บอกคุณหรอก

อยากมีชีวิตดี๊ดี มีเงินใช้มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องทำงานเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่ชั่วโมงเดียวกันมั้ยคะ?? 


บางครั้งความดี๊ดีก็ไม่ได้มาในรูปแบบของการมีเงินเพิ่มเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการ………. มีรายจ่ายที่น้อยลงด้วย เคยคิดกันมั้ยคะว่าถ้าหนี้บ้านที่เราผ่อนอยู่หมดเร็วขึ้น 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปยังไง?? เราจะเอาเงินค่าผ่อนบ้านไปทำอะไร?? เราอาจจะเกษียณได้เร็วขึ้นรึเปล่า??


ทาร่าเคยทำงานเกี่ยวกับสินเชื่อบ้านมาก่อนค่ะ แต่หลังๆ เริ่มรู้สึกอิ่มตัว เบื่อเรื่องเงิน อยากจะใช้ชีวิตที่มีสมดุล ได้ดูแลสุขภาพ มีเวลาให้ครอบครัว ไปเที่ยว พักผ่อน อยู่กับตัวเองมากขึ้น ทาร่าเลยเลิกทำสินเชื่อแล้วหันมาสอนภาษาไทยให้เด็ก ๆ ที่เกิดต่างประเทศแทน


แต่ความรู้เรื่องเรื่องสินเชื่อ การเงิน ก็ยังเป็น passion อยู่ลึก ๆ ที่บางทีก็คิดถึงอยู่เหมือนกัน มาค่ะ วันนี้ทาร่าจะมาแชร์เทคนิคง่าย ๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้กัน 👉 วิธีปิดหนี้บ้านเร็วๆ แล้วเราจะได้ไปใช้ชีวิตกันค่ะ 🥳🥳🥳


Credit : Unsplash


Albert Einstein นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกเคยบอกไว้ว่า “ดอกเบี้ยทบต้น” เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก ใครเข้าใจมันก็จะมีรายได้จากส่วนนี้ ใครที่ไม่เข้าใจก็ต้องจ่ายไปเรื่อย ๆ


ถ้าคุณสังเกตุ loan statement ของตัวเองดี คุณจะเห็นตัวเลขในอัตราส่วนประมาณนี้ค่ะ


  • หนี้ 3,000,000 บาท

  • ดอกเบี้ย 3%

  • กู้ 30 ปี 

  • ผ่อนเดือนละ 12,648 บาท

  • 1 ปีผ่านไป เท่ากับ 151,776 บาท

  • 1 ปีผ่านไป หนีเหลือ 2,937,366 บาท

  • แปลว่าเงินต้นลดไปแค่ 62,634 บาท

  • ส่วนที่เหลือคือดอกเบี้ย 89,142 ฮือ!!!


และในปีที่ 15 นั้น


  • เราก็ยังจะผ่อนเดือนละ 12,648 บาทอยู่

  • หรือปีละ 151,776 บาทเท่าเดิม

  • แต่เงินต้นเราเหลือแค่ 1,926,794 บาท

  • เพราะฉะนั้นเราก็จ่ายดอกเบี้ยแค่ 56,499 บาท (💢 ลดลงจาก 89,142 ในปีแรก!!) 

  • เอาไปลดเงินต้น 95,277 บาท (💢 เพิ่มขึ้นจาก 62,634 ในปีแรก!!)

  • ทำให้เงินต้นในปีนั้นเหลือ 1,831,517 บาทค่ะ




และสิ่งที่ธนาคารไม่เคยบอกคุณ คือ ถ้าคุณจ่ายเกินจากที่เค้ากำหนดมา แค่นิดเดียว เงินทุกบาทที่จ่ายเกินมาจะเอาไปลดเงินต้นทั้งหมด ซึ่งก็จะทำให้ดอกเบี้ยในเดือนต่อๆ มาลดลง และเงินต้นที่เราเป็นหนี้อยู่จะลดลงเร็วมากกกก 💢 keyword อยู่ที่คำว่า แค่นิดเดียว แต่ทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ตัวเลขของเราจะเปลี่ยนไปแบบนี้เลยค่ะ



ในกรณีเดิมแต่เราจ่ายเพิ่มเดือนละ 1,000 บาท หนี้คุณจะหมดเร็วขึ้นถึง 3 ปี 4 เดือน


และถ้าคุณสามารถผ่อนเพิ่มได้เดือนละ 2,000 บาท คุณจะสามารถประหยัดเวลาไปได้ถึง 6 ปี!!



แล้วถ้าเดือนละ 3,000 บาทล่ะ??? หนี้คุณจะหมดเร็วขึ้นถึง 8 ปี 2 เดือนเลยนะ!!!



จ่ายเพิ่มเดือนละ 3,000 บาท ได้เกษียณเร็วขึ้น 8 ปี คุณว่าคุ้มมั้ย??? 


ถ้าคุณอยากคำนวณสถานการณ์ของตัวเอง หนี้จริง ดอกเบี้ยจริง ระยะเวลาที่เหลือจริง ๆ และเงินที่จ่ายเพิ่มจริง ๆ ลองเล่นดูจากเวบนี้ก็ได้ค่ะ (อันนี้เป็นธนาคารที่ออสเตรเลีย แต่ด้วยหลักการของสินเชื่อกับดอกเบี้ยทบต้นแล้ว ผลที่ได้จะไม่ต่างจากที่ไทยค่ะ)


https://www.ing.com.au/home-loans/calculators/extra-loan-repayments.html


ถ้าคุณอยากฟังเป็นคลิปที่มีรายละเอียดเรื่องดอกเบี้ยทบต้นมากขึ้น ทาร่าเคยพูดในคลิปไว้ในลิงก์นี้ค่ะ


https://youtu.be/1p3UbZBcalE


💢 แต่ถ้าใครไม่ถนัดตัวเลข ไม่อยากเข้าใจอะไรทำนั้น แค่บอกมาว่าทำยังไงถึงจะจ่ายหนี้ได้เร็วขึ้น จะได้เกษียณไวๆ 👉 คุณแค่จ่ายเกินจากที่ธนาคารกำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง มีน้อย โปะน้อย มีมาก โปะมาก แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ!!!


สูตรนี้ไม่มีคำว่าสายเกินไปนะคะ ไม่ว่าตอนนี้คุณจะผ่อนมากี่ปีแล้วก็ตาม คุณยังสามารถเริ่ม “จ่ายเกิน” ได้เสมอ รีบๆ ผ่อนให้หมด เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่อิสระมากขึ้น (อย่างน้อยก็ไม่ต้องกับวลเรื่องบ้านแล้วหนึ่ง) และได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการจริงๆ กันนะคะ 


(อ่อ! หรือถ้าจะให้แน่ใจ ลองเช็คกับธนาคารของคุณนิดนึงก่อนก็ดีค่ะ เพราะข้อมูลของทาร่ามาจากธนาคารที่ออสเตรเลียซึ่งใช้หลักการเดียวกันหมด)


Credit : Unsplash


ทาร่าก็เป็นคนนึงที่ใฝ่ฝันที่จะมีชีวิตที่อิสระและออกแบบชีวิตได้เอง ทาร่าพยายามศึกษา หาเครื่องมือ ทางลัด ตัวช่วยหลายอย่าง เพื่อที่จะมีชีวิตแบบนั้น และหนึ่งในเครื่องมือที่ทาร่ารักมากๆ คือ คือ Vision Board ค่ะ ทาร่าเขียนเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดในหนังสือเล่มนี้แล้วค่ะ 


 📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางอื่นๆ ในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

Line: @tarathow










15 มีนาคม 2565

เธอรักฉันภาษาอะไร มาเข้าใจความรักกัน

คุณเคยแสดงออกซึ่งความรักให้ใครซักคนแล้วรู้สึกว่าเค้าไม่เห็นค่ารึเปล่าคะ?? เช่น อุตส่าห์จัดเซอร์ไพรซ์ซะอย่างดิบดี แทนที่คนรักจะซาบซึ้งน้ำตาไหล แต่กลับโดนดุว่า “ทำทำไมให้สิ้นเปลือง??” เอ้ยย!!!


หรือทุกครั้งที่ถามว่ารักมั้ย เค้าก็จะพยายามตอบแบบเลี่ยงๆ หรือพูดออกมาเหมือนโดนบังคับ เท่านั้นยังไม่พอ เวลาเราบอกรักเค้า เค้ากลับแสดงอาการขนลุก ขนพอง เหมือนไม่ชินกับคำพูดหวานๆ (เลี่ยนๆ) แบบนี้ซักเท่าไหร่



มันเกิดอะไรขึ้น?? หรือเค้าไม่ได้รักเรา เราไม่ได้รักเค้า พวกเราไม่ได้รักกัน??



หรือเป็นไปได้มั้ยว่า…….. เราแค่กำลังบอกรักกัน ‘คนละภาษา’ อยู่???



เรื่องนี้ Shane Forzard โค้ชด้านพัฒนาตัวเองและพัฒนาความสัมพันธ์ที่ออสเตรเลีย ได้เคยสอนไว้ในคลาสที่ชื่อว่า Success Intimacy และเขาได้อธิบายไว้ว่า… ตามธรรมชาติแล้ว คนเราสามารถแสดงออก (และรับ) ความรักได้ถึง 5 ภาษาด้วยกัน บางคนอาจจะเซนซิทีฟกับ ‘ภาษานึง’ มากกว่าอีก ‘ภาษานึง’ แค่ได้รับนิดๆ หน่อยๆ ก็ใจฟูไปถึงดาวอังคารแล้ว แต่ถ้าได้รับหน่วยความรักมาเป็น ‘ภาษาอื่น’ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายนึงพยายามส่งออกมามากมาย แต่เมื่อสัญญาณรับไม่ตรงกันแล้ว… อีกฝ่ายนึงก็ไม่สามารถได้ยินได้



Credit : Pixabay


แล้ว 5 ‘ภาษารัก’ ที่ว่ามีอะไรบ้าง???


💗 ภาษาที่ 1 คือ การให้ของขวัญ บางบ้านเรียก ‘สายเปย์’ ถ้าเมื่อไหร่เราให้ของขวัญ ซื้อดอกไม้ ช็อคโกแลต ขนมหวาน ใส่ใจในของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เค้าจะรู้สึกซาบซึ้ง เพราะว่ามันแสดงออกถึงความใส่ใจ ถึงแม้จะไม่ใช่สินค้าราคาแพง แต่เค้าจะรู้ว่าเรารักมาก


💗 ภาษาที่ 2 คือ การบริการ เช่น การใส่รองเท้าให้ จะขึ้นรถก็เปิดประตู อยู่บ้านก็ช่วยล้างจาน

ช่วยดูแลลูก ซักผ้า ทำกับข้าว เตรียมเสื้อผ้าทำงานให้กัน อีกฝ่ายจะรู้สึกซาบซึ้ง อบอุ่น น่ารักจังเลย เธอช่างใส่ใจฉัน


💗 ภาษาที่ 3 คือการสัมผัส ทั้งการกอด จูบ จับมือ โอบจับ ลูบไล้ รวมไปถึงการอะไรๆ กันด้วย บางคนก็ถนัดที่จะแสดงออกซึ่งความรักด้วยวิธีนี้ และบางคนก็รู้สึก ‘รัก’ เมื่อได้รับการสัมผัสที่อบอุ่นด้วยเหมือนกัน (ที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่ภาษาสากล และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีภาษารักแบบนี้เป็นภาษาหลัก)


💗 ภาษาที่ 4 คือ คำพูด บางคนก็ชอบฟังคำหวาน ชอบผู้ชายปากหวาน ชอบผู้หญิงขี้อ้อน แค่ได้ยินก็ใจฟูแล้ว ทั้งการชมแบบอ้อมๆ เช่น วันนี้เธอสวยจังเลย ใส่เสื้อใหม่แล้วดูดีมากๆ ลิปสีแดงสวยมาก เข้ากับเธอมาก รวมถึงการบอกรักแบบตรงๆ เช่น ฉันรักเธอจังเลย ฉันโชคดีที่มีเธอในชีวิต 


💗 ภาษาที่ 5 การใช้เวลาร่วมกัน คนที่มี ‘ภาษารัก’ แบบนี้จะมีความสุขมากถ้าได้ใช้เวลาร่วมกัน อาจจะแค่นั่งด้วยกันเฉยๆ หรือนั่งอ่านหนังสือใกล้ๆ กัน นั่งเล่นเกมใกล้ๆ กัน หรือการกินข้าวด้วยกัน ได้ทำกับข้าวด้วยกัน แค่นี้ก็รู้สึก ‘รัก‘ มากแล้ว



                                                                                              Credit : Pixabay


💔 และปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ระหว่างคู่รัก คือ การที่เรามี ‘ภาษารัก’ ที่ต่างกัน และเราก็พยายาม “บอกรัก” ในแบบของเรา แต่อีกฝ่ายนึงกลับ “ไม่ได้ยิน” หรือเรา “อยากได้ยิน” ภาษารักในแบบของเรา แต่อีกฝ่ายก็ “ไม่ยอมบอก” ในแบบที่เราต้องการซักที 



เช่น ผู้ชายชอบใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แค่ได้กินข้าวด้วยกันทุกวันก็มีความสุขมากแล้ว ส่วนผู้หญิงกลับชอบสายเปย์ อยากได้การเอาอกเอาใจ ซื้อของขวัญมาเซอร์ไพรซ์



พอมาอยู่ด้วยกัน ผู้ชายก็รำคาญไปสิ ผู้หญิงซื้ออะไรให้ก็ไม่รู้สึกดีใจ แถมยังไม่เคยซื้ออะไรให้เธออีกต่างหาก ทำไมต้องทำความรักให้เป็นเรื่องวุ่นวายด้วย แค่เราได้กินข้าวด้วยกันทุกวันนี่ก็มีความสุขแล้ว (เหรอ???) // ส่วนผู้หญิงก็น้อยใจไปสิ ซื้ออะไรให้ก็ไม่เคยถูกใจ ไม่เคยใช้ แถมยังไม่เคยมีเซอร์ไพรซ์อะไรให้เธอเลย แล้วจะตัวติดอะไรกันนักหนา ห่างกันบ้างก็ได้มั้ย?? // กลายเป็นว่า… ต่างคนต่างรัก แต่มีวิธีแสดงออกที่ไม่ต่างกัน สุดท้ายแล้ว ‘ความรัก’ ก็ตกหล่นอยู่ตรงกลางระหว่างการสื่อสารอย่างน่าเสียดาย



หลังจากทาร่าได้ยินเรื่องนี้ ทาร่าก็นำมาปรับใช้กับคู่ของตัวเอง สังเกตุว่าภาษารักของสามีทาร่าคือการบริการ เพราะฉะนั้น เค้าก็จะแสดงออกด้วยการช่วยทำงานบ้าน ช่วยเลี้ยงลูก ทำอาหารให้… นี่คือวิธีการแสดงออกถึงความรักที่ครอบครัวเค้าทำกันมา พ่อแม่เค้าก็รักกันแบบนี้แหละ ส่วนเรื่องจะให้มาบอกรัก พูดจาหวานๆ หรือซื้อของขวัญให้กันนี่เหมือนไม่ได้อยู่ในพจนานุกรม “ความรัก” ของเค้าเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นทาร่าก็ต้องปรับตัว ทั้งไม่คาดหวัง และไม่บอกรักเค้าด้วย ‘ภาษานี้’ ให้สิ้นเปลืองพลังงานและกำลังใจด้วย เมื่อไหร่ที่อยากจะบอกรักเค้าก็นวดให้ ช่วยงานบ้าน ทำอาหารให้กิน แบบนี้เค้าจะรู้สึกซาบซึ้งมาก



(หลังจากบอกรักด้วย ‘ภาษาของเค้า’ ให้เค้าได้ยินแล้ว หลังจากนั้นอยากได้อะไรก็ง่ายแล้วค่ะ 😝)




ทาร่าหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างนะคะ ลองนำไปปรับใช้ดู แล้วคุณอาจจะค้นพบว่า จริงๆ แล้ว เรารักกันแหละ แค่เรามีวิธีแสดงออกที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง 🥰



นอกจากเรื่องภาษารักทั้ง 5 แล้ว ทาร่ายังมีอีกเครื่องมือที่ช่วยเนรมิตร ‘ความรักในฝัน’ ให้ได้ เพียงแค่หารูปของ ‘ความรักในฝัน’ มาแปะไว้ในที่ที่สามารถมองเห็นได้ทุกวัน และปิ๊ง 


Credit: Pixabay

🌟 จักรวาลจะจัดสรรให้คุณเอง แต่คุณต้องชัดเจนก่อนนะว่า ‘ความรักในฝัน’ ที่อยากได้นั้นมีหน้าตายังไง เรื่องนี้ทาร่าได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้วค่ะ อ่านง่าย จบได้ภายใน 2 ชั่วโมง และที่สำคัญ… ได้ผล 1000% ใครที่อยากมีชีวิตในฝัน ความรักในฝัน คนรักในฝัน ลองเอาไปทำกันดูนะคะ



📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

Line: @tarathow









บริหารเวลาง่ายๆ ด้วยเทคนิค Cluster

วุ่นนนนนนนจังโว้ย เคยอยากตะโกนคำนี้ออกไปดังๆ ไหมคะ (ถ้าตะโกนออกมาจริงๆ ไม่ได้ก็ตะโกนออกมาในใจก่อนละกันค่ะ) ทาร่าเคยเป็นคนแบบนั้นค่ะ วันนึงมี 24 ชั่วโมง แต่อยากให้มีสัก 30 ชั่วโมง เวลาไม่เคยพอ บางวันมีงานรออยู่เป็น 10 รายการ แค่เห็นก็ท้อแล้ว แต่ตอนนี้ชีวิตทาร่าดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ หลังจากได้ค้นพบคัมภีร์วิเศษขอเรียกแบบนี้เลยนะคะ 😘


หนังสือ The 4 - Hour  Work week (มีเล่มแปลภาษาไทยชื่อ ทำน้อยแต่รวยมาก) ของ

Tim Ferriss ที่ทาร่าชอบมาก เล่มนี้มีหลายประเด็นย่อย ๆ ที่สำคัญและเอามาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน อ่านเล่มนี้แล้วชีวิตทาร่าเปลี่ยนไปเลยค่ะ ชอบมาก เลิฟมาก เลยมาแชร์อีกรอบ 



🌟 1 ไอเดียที่ Tim Ferriss ได้แชร์ไว้ในหนังสือ ที่ทาร่าชอบมาก และคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนด้วย เทคนิคการบริหารเวลาด้วยวิธี Cluster ค่ะ



คำว่า Cluster เนี่ยไม่ได้มีแค่โควิดนะคะ 😅 แต่ cluster มันแปลว่าการกระจุกตัว การเป็นกลุ่ม เป็นก้อน และเมื่อเอามาใช้ในเรื่องการบริหารเวลา มันแปลได้แบบนี้ค่ะ



Credit:Pixabay


Tim เค้าบอกว่า ในชีวิตประจำวันเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาทำงาน เราจะมีงานหลายชิ้นแทรกเข้ามา คนทั่วไปพอตื่นขึ้นมา ต้องเช็คอีเมล์ ใครถามอะไรมา เราต้องตอบ แล้วสักพักนึง โทรศัพท์เข้ามา พอรับโทรศัพท์เสร็จ เราก็กลับไปตอบอีเมล์ต่อ 



แถมยังมีใบเรียกเก็บเงินมาแทบจะทุกวัน เพราะเราเป็นคนมีค่าค่ะ ค่าใช้จ่ายนั่นเอง (คำนี้ทิมไม่ได้บอกนะคะ ทาร่าบอกเอง 😆) เรามีใบเสร็จให้คอยจ่ายค่านู่น ค่านี่อยู่เรื่อย และปัญหาคือเราไม่ได้มีคนกรองงานให้ว่าอันไหนสำคัญ อันไหนด่วน และอันไหนที่รอได้ พูดง่าย ๆ คือเราไม่มีผู้จัดการส่วนตัว เราไม่มีคนจัดคิวให้นั่นเองค่ะ



ธรรมชาติของคนพอเราต้องเปลี่ยนจากงานนึงไปอีกงานนึง เราต้องตั้งสมาธิใหม่ สมองเราก็เหมือนคอมพิวเตอร์อ่ะค่ะ ต้องออกจากโปรแกรมนึง ไปเข้าอีกโปรแกรมนึง ออกจากโหมดบัญชี ไปสู่การตลาด การตลาดเสร็จกลับโหมดขาย ขายเสร็จ กลับมาดูแลลูกค้าต่อ แล้วยังต้องกลับมาทำดูแลบัญชีอีกรอบ แบบนี้แหละที่ Tim บอกว่าเป็นการบริหารเวลาที่ไม่มีประสิทธิภาพ!!!



เทคนิค Cluster ของ Tim บอกว่า งานหลายๆ อย่าง เราก็สามารถปล่อยไว้ก่อน และเก็บไว้ทำทีเดียวได้ เช่น กำหนดไว้เลยว่าฉันจะเช็คอีเมล์ แค่วันละ 3 ครั้ง เช้า เที่ยง เย็น อย่างละ 1 รอบ หลังจากที่เราไล่ตอบจนครบแล้วเราก็จะจบ task อีเมลและจะไม่เปิดมันแล้ว ถ้ามีอีเมลอะไรเข้ามาแทรกระหว่างนั้นก็ปล่อยไว้ก่อน เอาไว้ถึงเวลาแล้วค่อยกลับไปทำทีเดียว


Credit:Picxabay


เวลาจ่ายบิล ที่มีทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ ค่าโฆษณา จิปาถะ เราอาจจะ Cluster ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกันได้ เช่น เปิดตู้จดหมายแค่อาทิตย์ละครั้ง และจ่ายพร้อมกันทีเดียว แบบนี้ช่วยประหยัดเวลาให้เราได้เยอะเลยค่ะ



แม้แต่การทำอาหารสามารถใช้วิธี Cluster ได้นะคะ ตอนนี้ที่เมืองนอกนิยมมาก เมืองไทยก็เริ่มเห็นคนทำแบบนี้แล้ว คือการทำอาหารแบบ Meal Prep แค่อาทิตย์ละครั้ง แล้วเราก็แช่ตู้เย็นไว้ พอหิวก็อุ่นกิน อาจจะอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ก็จะช่วยประหยัดเวลาให้เราได้ค่ะ



สำหรับใครที่ชีวิตวุ่นวาย อยากหาเวลาให้ตัวเองเพิ่ม เพื่อจะได้ไปพักผ่อน ทำอะไรที่เราอยากจะทำ ใช้เวลากับลูก ครอบครัวบ้าง ลองเอาไปใช้กันดูนะคะ



Credit:Pixabay


นอกจากเทคนิคการบริการเวลาด้วยวิธี cluster แล้ว ทาร่ายังมีอีกหนึ่งเทคนิคในการไปถึงทุกเป้าหมายในชีวิต นั่นคือ การทำ Vision Board นั่นเอง ทาร่าเล่าตั้งแต่การเริ่มต้นทำ ระหว่างทำ ยันเคล็ดลับวิธีทำ จนประสบความสำเร็จ Vision Board เป็นอะไรที่ทำง่ายมาๆ และที่สำคัญได้ผล 💯 อยากให้ทุกคนได้ลองใช้จริง ๆ ค่ะ 



📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

Line: @tarathow








11 มีนาคม 2565

อยากน่ารักต้องทำยังไง

 🌵 ทุกคนเคยมีช่วงเวลาที่อยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม อยากสวยกว่านี้ อยากน่ารักกว่านี้มั้ยคะ มันต้องมีใช่มั้ยคะ เมื่อเร็วๆ นี้ มีรุ่นน้องทาร่าที่ทำงานอยู่ในวงการบันเทิง เห็นทาร่าทำคลิปพวก NLP, Coaching เธอเลยส่งคำถามมาว่า หนูต้องไปออกรายการทีวีบ่อยๆ พอทีวีออนแอร์ ทำไมรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยน่ารักเลย รู้สึกอยาก cute ได้อีก พี่ทาร่ามีเทคนิคอะไรมั้ย??


ทาร่าก็แบบ โอ๊ะ! งั้นต้องใช้วิธีนี้จ๊ะ เธอจ๋า สะกดจิตตัวเองไปเลยว่า ฉันน่ารัก!!! ฉันน่ารัก!! ฉันน่ารัก!!


วิธีการง่ายๆ แค่หลับตาแล้วคิดถึงช่วงเวลาที่เราน่ารัก (แน่นอนว่าคนเราอาจจะไม่ได้น่ารัก 24 ชั่วโมง) แต่มันต้องมี ช่วงเวลาที่เราน่ารักบ้างถูกไหมคะ นั่นแหละ ช่วงเวลานั้นที่เราต้องนึกถึงและนำมาใช้ในการสะกดจิตตัวเอง


ขั้นตอนต่อไปคือ ให้เราหลับตา แล้วคิดถึงความน่ารักของเรา ให้เราค่อยๆ ดึงความทรงจำจากช่วงเวลาที่เราน่ารักออกมา ให้เราหลับตา แล้วก็คิดไป 👉 เอ้อ ตอนนี้ไง 👉 เฮ๊ยยย ฉันน่ารักจัง 👉 แบบนี้ก็น่ารัก 👉 ให้ภาพในความคิดของเราฉายช่วงเวลานั้นซ้ำๆ เหมือนนั่งมองความน่ารักของตัวเองแล้วก็มีความสุขไปกับมัน 👉 เห็นว่าตัวเองน่ารักได้ขนาดนี้เลยเหรอ ให้เราคิดไปเรื่อยๆ คิดซ้ำๆ แล้วก็คิดให้ภาพใหญ่ขึ้น


Credit:pixabay


จนกระทั่งรู้สึกว่า 👉 เอ้ย เราก็น่ารักเหมือนกันนี่ (หว่า) 💘 แค่นี้ก็เหมือนการสะกดจิตตัวเองไปแล้วว่า เราเป็นคนน่ารักนะ ฉันทำอย่างนี้แล้วน่ารักชะมัดเลย แล้วสมองเราจะเรียนรู้โดยอัตโนมัติ ร่างกายเราของเราก็จะบันทึกการเรียนรู้นี้ไว้ และทำซ้ำอย่างเป็นธรรมชาติ จนเราเริ่มมีโมเมนต์น่ารักๆ ออกมามากขึ้น บ่อยขึ้น และเมื่อเรายิ่งรู้สึกชื่นชมความน่ารักของเรา ตอกย้ำความน่ารักของตัวเอง…. สมอง ร่างกาย และจิตใต้สำนึกก็จะยิ่งทำมันออกมาจนกลายเป็นวงจรอัตโนมัติของ “คนน่ารัก” ง่าย ๆ แค่นี้เองค่ะ



💢 การสะกดจิตตัวเองแบบนี้ไม่ได้ใช้ได้แค่เรื่องความน่ารักนะคะ แต่ยังใช้กับเรื่องอื่นได้ด้วย เช่น เราอยากเป็นคนแบบไหนล่ะ (มีวินัย กล้าหาญ ตรงเวลา พูดความจริง ใจเย็น รับฟังอยางเห็นอกเห็นใจ ฯลฯ) เราก็สะกดจิตตัวเองด้วยวิธีเดียวกันได้เลย 👉 แค่คิดถึงช่วงเวลา (อันน้อยนิด) ที่เรามีพฤติกรรมแบบนั้น แล้วก็นั่งชื่นชม ให้ความสำคัญ ให้รางวัลกับตัวเองในใจ ทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วเราจะแปลกใจที่เรามีพฤติกรรมแบบนั้นมากขึ้น บ่อยขึ้น จนรู้ตัวอีกทีนึง 👉 เราก็กลายเป็นคนแบบนั้นไปแล้ว 🥰


Credit:pixabay

💭 ทาร่าชื่นชมน้องมากเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ นางก็เป็นคนน่ารักอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากน่ารักกว่านี้ อยากดีกว่านี้ อยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ทาร่าว่านางสุดยอดไปเลยค่ะ!!! 


ทาร่าเองก็เป็นคนที่เชื่อในเรื่องของการพัฒนาตัวเองและพยายามจะ “เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นในทุกวัน“ เรื่องนี้ทาร่าเคยเล่าไว้ในหนังสือ Power of Vision Board ด้วยค่ะ มันชื่อ Excellence Theory (ทฤษฎีความยอดเยี่ยม) ที่บอกไว้ว่า….. สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อ“ความยอดเยี่ยม” ไม่ใช่ “ความยอดแย่” แต่เป็น “ความที่มันดีอยู่แล้ว” ต่างหาก


สำหรับใครที่อยากพัฒนาตัวเองในทุกๆ ด้าน ดึงศักยภาพของตัวเองออกมาให้มากที่สุด ทาร่าขอฝากเล่มนี้ไว้ในดวงใจด้วยนะคะ อ่านง่ายมาก ๆ จบภายใน 2 ชั่วโมง และที่สำคัญ มันได้ผล 💯



📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow






มาฝึกวิชาใจเบาด้วยกันค่ะ

มาฝึกวิชาใจเบาด้วยกันค่ะ


“วิชาใจเบา” เป็นวิทยายุทธที่ทาร่าได้รับการถ่ายทอดจากสามีทาร่าเองค่ะ 


สามีทาร่าเป็นผู้ชายที่สุขง่าย สุขดาย ใจเย็น (รักเด็ก รักสัตว์ รักต้นไม้ ใบหญ้า แมลง อ๊อยย ถ้าเรียกว่า ‘พ่อพระ’ ก็ดูจะอวยสามีตัวเองเกินไป แต่เรียก ‘พ่อคุณ’ นี่ไม่ผิดแน่ ๆ) และที่สำคัญ คือ ฮีเป็นคนใจเบามาก!! ตั้งแต่เกิดมาทาร่ายังไม่เคยเจอมนุษย์คนไหน “ใจเบา” เท่าสามีตัวเองเลยจริงๆ ค่ะ


ถามว่าใจเบา / ใจเย็นขนาดไหน คิดดูว่าถอยรถออกจากบ้านแล้วมีฝรั่งชูนิ้วกลาง พร้อมตะโกน F word ใส่ เค้าก็ยังขับต่อไปได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 😮


ทาร่าที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงกับอ้าปากค้าง “นี่เธอไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”


ฮีก็ยังตอบมาด้วยสีหน้าปกติ “ก็ไม่นิ ฉันทำในสิ่งที่ฉันควรจะทำ ตอนที่ถอยออกมา รถเค้ายังมาไม่ถึง ฉันก็เลยมองไม่เห็น ฉันก็ทำถูกแล้วนิ เค้ามาตอนที่ฉันถอยออกมาแล้ว เค้าก็ต้องรอ ก็ถูกแล้วนิ


อันนั้นมันก็ใช่ แต่ที่ทาร่าตกใจ คือ เค้าด่าเธอนะ เธอจะไม่รู้สึกอะไรหน่อยเหรอ และสิ่งที่สามีตอบมา ทำเอาทาร่าตกใจเข้าไปอี๊กกก…..


“ฉันไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะลดความฉลาดทางอารมณ์ของตัวเองลงไปเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับเค้านะ”


หูยยยยยยยย… ฟังแล้วก็เจ็บแทนผู้ชายคนเมื่อกี้เลยค่ะ นิ่งๆ แต่บาดลึกมาก!!! 💢 



Credit:Unsplash


ทาร่าทั้งรัก ชื่นชม เคารพ บูชา ความใจเย็นของสามีตัวเองมากกกก… ในขณะที่เจ้าตัวน่ะเหรอ?? ไม่รู้สึกอะไรเลยจ้าาาา… เค้าคิดของเค้าว่ามันก็เป็นเรื่องปกตินิ ‼️


และเค้าก็ยังมีแนวคิดแบบนี้มาให้ทาร่าเซอร์ไพรซ์อยู่เรื่อย ๆ (นี่ขนาดแต่งงานกันมา 15 ปี มีลูก 2 คน แล้วยังมีคำพูดคมๆ ปรัชญากริ๊บๆ มาให้ตกตะลึงอยู่บ่อย ๆ) มีครั้งนึงทาร่ามีเรื่องดราม่ากับเพื่อนค่ะ ใจเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่อีกฝ่ายนึงเค้ารู้สึกว่า เฮ้ย มันเรื่องใหญ่ร้ายแรง เค้าโกรธมาก โกรธถึงขนาดไม่อยากคุยกับทาร่าอีกแล้ว


ทาร่ากลับไปเล่าเรื่องนี้ให้สามีฟัง และฮีก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้านิ่งๆ เหมือนเดิมว่า “ก็ไม่เห็นมีอะไรนิ”


ทาร่าก็เถียงกลับไปว่า “มันจะไม่มีอะไรได้ยังไง ก็เพื่อนเค้าโกรธฉัน ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่ทำอะไร บลา ๆ ๆ ๆ”


สามีก็ให้สติมาว่า “ก่อนอื่นเธอต้องเข้าใจก่อนว่า…. เรื่องความโกรธเนี่ยะ มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล แล้วแต่ละคนก็จะมี “ปุ่มโกรธ” อยู่หลายๆ ที่ มีความ sensitive หลายระดับ ไม่เท่ากัน บางคนแค่แตะเบา ๆ ก็โกรธแล้ว บางคนโดนจิ้มซะแรงแต่ยังไม่โกรธก็มี บางคนแตะตรงนี้โกรธ บางคนแตะตรงนี้ไม่โกรธ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน… ขึ้นอยู่กับว่า….. เค้าเคยเจออะไรมาบ้าง”


อ่าฮะ ฟังดูสมเหตุสมผล แล้วยังไงต่อ


“ยูไม่เคยเห็นเหรอ บางคนก็โกรธง่าย โกรธดาย เหมือนมี “ปุ่มโกรธ” อยู่ทุกที่ ความ sensitive ระดับ 10  แตะนิด แตะหน่อย แค่หายใจผ่านก็โกรธแล้ว ยูไม่เคยเห็นเหรอ?? เพื่อนบางคนแค่เปิดไลน์อ่าน แล้วไม่ตอบ เค้าก็โกรธแล้ว บางคนถามในไลน์กลุ่มแล้วไม่มีใครตอบก็น้อยใจ ไม่นับเป็นเพื่อนแล้วก็มี…….


ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับยูแล้วล่ะว่า… ยูอยากจะเป็นเพื่อน อยากจะปฏิสัมพันธ์กับคนที่มี “ปุ่มโกรธ” อยู่ตรงนี้ในความ sensitive ระดับนี้อยู่รึเปล่า?? ถ้ายูอยาก ก็กลับไปขอโทษเค้าซะ แต่ถ้ายูคิดว่า เค้า sensitive เกินไป เราอยู่ใกล้ๆ ก็จะต้องระวัง จนไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ก็แค่ปล่อยเค้าไป ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย พวกยูก็แค่เข้ากันไม่ได้ ก็เลยห่าง ๆ กันไป แค่นี้เอง”



Credit:Pixabay


ทาร่าฟังแล้วก็สบายใจขึ้นเลยค่ะ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็คงจะเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ เปลี่ยนคนอื่นยิ่งไม่ได้ใหญ่ ใครที่ถูกจริตก็คบกันต่อไป ใครที่ไม่ใช่ก็ห่าง ๆ กันไป เหมือนสำนวนฝรั่งที่บอกไว้ว่า 


“to please everyone is to please noone - not even yourself” 


การจะทำอะไรให้ถูกใจทุกคน สุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นการกระทำที่ไม่ถูกใจใครซักคนเดียว ไม่แม้กระทั่งตัวเราเอง งื้อออ 😢


ตราบใดที่เราคิดว่า เราทำดีแล้ว เราทำถูกแล้ว ถ้าคนอื่นจะไม่พอใจบ้าง มันไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว แต่เป็นเรื่องของเค้าต่างหาก คิดได้แบบนี้แล้วทาร่าก็สบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ 🥰



ทาร่าหวังว่า “วิชาใจเบา” ที่ได้มาจากสามีจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ บ้างนะคะ ทาร่าขอส่งกำลังใจ 💕 ให้เพื่อนๆ ทุกคนนะคะ ขอให้ทุกคนได้เป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ มีคนที่รักและเห็นค่าเราอย่างจริงใจ และหากความเป็นเราจะขัดใจใครไปบ้างก็ขอให้ ‘ปล่อยวาง’ ให้ได้นะคะ  


นอกจากนี้ทาร่ายังมีอีกศาสตร์พัฒนาตัวเองที่รักมาก ๆ ใช้มาตั้งแต่ยังโสดจนลูกสองแล้ว และเป็นศาสตร์ที่พาทาร่ามาเจอกับผู้ชายใจเย็นคนนี้ (ใช่ค่ะ ทาร่าตั้งใจดึงดูดเค้ามาเองค่ะ 💝) นั่นก็คือ การทำ Vision Board นั่นเอง ทาร่าเล่าถึงวิธีการทำและการใช้อย่างละเอียด ทั้ง before, during, after ไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว อยากให้เพื่อนๆ ทุกคนได้อ่านกันนะคะ รักทุกคนค่ะ 💕



📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow