18 เมษายน 2565

ว่าด้วยเรื่องของ “เพศศึกษา” กับเด็กและเยาวชนที่ออสเตรเลีย

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่เสรีในเรื่อง “กิจกรรมทางเพศ” มากค่ะ เว็บโป๊ไม่ผิดกฎหมาย ร้านขายของเล่นเปิดกันที่ถนนเส้นหลักเลยค่ะ (แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบันไดให้ขึ้นไปข้างบนโสเภณีก็ไม่ผิดกฎหมายค่ะ แถมยังมีหน่วยงานรัฐบาลคอยดูแลคนทำงานประเภทนี้โดยเฉพาะเลยด้วย ทั้งในเรื่องของใบอนุญาตในการประกอบอาชีพ การให้ความรู้ด้านสุขภาพ โรคติดต่อการคุมกำเนิด สิทธิของผู้ให้บริการ (ใช่ค่ะ ถึงเค้าจะให้บริการด้านนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะทำอะไรกับเค้าก็ได้ - ผู้ให้บริการต้องรู้เรื่องสิทธิของตัวเอง และสามารถขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐบาลได้หากถูกคุกคามจนเกินไปและมีถุงยางแจกฟรีด้วยค่ะ (สามารถเข้าไปหยิบได้เลย)


Credit : sassymamasgi


ไม่ได้แค่ความสัมพันธ์ หญิง-ชายเท่านั้นนะคะ แต่ความสัมพันธ์หญิง-หญิง ชาย-ชาย ของเราก็ได้รับการยอมรับและสนับสนุนด้วยเหมือนกัน ออสเตรเลียน่าจะเป็นประเทศแรกๆ และ (น่าจะเป็นไม่กี่ประเทศที่อนุญาตให้มีการจดทะเบียนสมรสระหว่างคนเพศเดียวกัน และ คู่รักเพศเดียวกันได้รับสิทธิ์ทุกอย่างเหมือนกับคู่รักหญิง-ชาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขอวีซ่าคู่ครอง การทำธุรกรรมทางการเงิน กู้ร่วม รวมถึงสิทธิ์ในสมบัติในกรณีที่อีกฝ่ายนึงเสียชีวิตไปด้วยค่ะ


กลับมาที่เด็กและเยาวชนของเค้ากันบ้าง….. เค้าสอนเรื่องนี้กันยังไง??? 

  

   

เรื่องนี้บอกเลยว่าเรา มนุษย์แม่ลูกสองผู้อยู่ในหลัก 3 ปลายๆ ยังตกใจตาเหลือกเลยจ้ะ เพราะคนที่นี่เค้ามองเรื่อง “เพศศึกษา” กันแบบปกติ๊… ปกติ… เหมือนเป็นกิจกรรมตามธรรมชาติของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ต้อง กิน ขี้ xี้ นอน แค่นั้นเอง 


ที่โรงเรียนเค้ามี Puberty Workshop เพื่อให้ความรู้กับเด็กและผู้ปกครองในเรื่องนี้ และวิทยากรเค้าก็อธิบายหน้าตายมากๆๆๆ ว่า….


ระหว่างอายุ 9-14 ปี “เด็กๆ“ จะมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเพื่อเข้าสู่ ”ผู้ใหญ่“ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงจะมีเรื่องของหน้าอก สิว ประจำเดือน ต่างๆ ก็ว่าไป และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผู้ชาย คือ จะมีระดับฮอร์โมน testosterone ในปริมาณที่มากขึ้นทำให้เด็กๆ เสียงแตก มีมือเท้าที่ใหญ่ขึ้น มีกลิ่นตัว มีขนตามร่างกาย ช้างน้อยจะขยายขนาดเป็นบางเวลา และที่สำคัญ…..


ต่อมลูกหมาก จะเปิดโรงงานผลิตของเหลวสีขาวขุ่นออกมา และอีของเหลวสีขาวขุ่นนี่มันก็เหมือนของเหลวอื่น ๆ ในร่างกายของเรา ทั้งเหงื่อ น้ำตา น้ำมูก ปัสสาวะ ที่มันเป็นทาง one-way , no uturn เด้อจ้าาา.. หมายความว่า เมื่อมันถูกผลิตออกมาแล้ว มันไม่สามารถย้อนกลับไปที่ต่อมลูกหมาก แล้วกลับกลายไปเป็นฮอร์โมน testosterone ได้… เมื่อมันถูกผลิตออกมาแล้ว มันจะต้องเดินหน้าต่อไป จนออกมาทางนั้น!!! ทางเดียวเท่านั้น!!!





(นี่คือวิทยากรเล่าทุกอย่างอย่างหน้าตายมากเลยนะ เหมือนกำลังสอนวิชาชีวะก็ไม่ปาน - ส่วนแม่นี่นั่งหน้าแดง เขินอาย แอบมองหน้าลูกชายเป็นระยะ เค้ารู้เรื่องป่ะเนี่ยะ??)


วิทยากรเค้าเล่าต่ออีกว่า…. บางประเทศ บางวัฒนธรรม ก็มีการสั่งสอนกันว่า นี่เป็นเรื่องน่าอาย เป็นเรื่องอุบาทว์ ลามก แถมยังแนะนำให้เด็กๆ ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง อย่าไปคิดมาก อย่าไปหมกมุ่น…. ซึ่งมันไม่มีประโยชน์เลย!!!! 


คุณแม่และเด็ก ๆ ต้องเข้าใจธรรมชาติของอีของเหลวสีขาวขุ่นนี่ก่อนว่า เมื่อมันถูกผลิตออกมาแล้ว มันต้องเดินหน้าไปต่อ และออกมาได้แค่ทางเดียวเท่านั้น…… ถ้าไม่ตอนตื่น ก็ตอนหลับ!!!


(ตาย ตาย… เกิดเป็นหญิงไทยใจงาม ไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้มาก่อนในชีวิต)


และยังไม่จบจ้าาา…. วิทยากรยังแนะนำต่ออีกว่า พ่อแม่อย่างเราต้องเข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติมาก  อย่าไปแซวห้ามไปดุ ห้ามไปว่าลูกเด็ดขาด และ….. คนเป็นพ่อเป็นแม่ควรที่จะให้ความเป็นส่วนตัวกับเด็กๆ รวมถึงแนะนำวิธีการจัดการกับเส้นทางการของอีของเหลวสีขาวขุ่นนี้อย่างถูกต้องและเหมาะสม


(เฮ้ย!!! มันธรรมชาติขนาดนั้นเลยเหรอ?!???) 


และนี่ก็เป็นมุมมองเรื่อง “กิจกรรมทางเพศ” และสิ่งที่โรงเรียนสอนเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ที่บอกเลยว่าเราเองก็ยังรู้สึกเขินๆ 😳 และยังไม่ชิน และยังไม่ถึงเวลาด้วยแหละ (ลูกเราเพิ่งจะ 10 ขวบ


แต่ก็อยากจะเอามาแชร์กับเพื่อนๆ ด้วย ใครที่มีลูกน้อยหอยสังข์หอยสังข์เหมือนกัน จะได้เตรียมใจรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ไปด้วยกันนะคะ 🙃

 

💞💞💞💞💞

 

ช่องทางอื่นๆ ในการติดตามเราจ้าา… 

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: จุด by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

Line: @tarathow


17 เมษายน 2565

คู่แข่งแบบไหนน่ากลัวที่สุด 😱

ใครมีธุรกิจส่วนตัว หรือกำลังเล็งทำธุรกิจ รีบมาอ่านบทนี้ด่วน ๆ จ้า เรื่องนี้เหมาะมากสำหรับคนตัวเล็กที่ตั้งใจเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีได้ด้วยการทำธุรกิจ แน่นอนว่าเรื่องของ “คู่แข่ง” เป็นเรื่องที่เราไม่ควรประมาท แต่ไม่ควรไปจดจ่อใส่ใจมาก วันนี้ทาร่ามีวิธีคิดมาฝากกันค่ะ ว่าคู่แข่งแบบไหนที่เราควรจะกลัวที่สุด? แล้วเราจะปรับกลยุทธ์ธุรกิจยังไง?


เรื่องนี้ทาร่าได้มาจากหนังสือ Zero to one ผู้เขียน Peter Thiel ร่วมเขียนกับ Blake Masters (มีแปลภาษาไทยชื่อ จาก 0 ถึง 1) เป็นหนังสือเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Startups เป็นไอเดียธุรกิจระดับใหญ่ ที่

ต้องระดมทุน หานักลงทุน ลงแรง เพื่อทำบริษัทให้ใหญ่โตเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นหลักค่ะ



อ่านสนุก ได้มุมมองใหม่ๆ ดีค่ะ และก็มีประเด็นที่คนที่ทำธุรกิจระดับ SME (อย่างตัวทาร่า) สามารถนำมาปรับได้ด้วย ตามนี้เลยค่ะ

Credit : Unsplach


🍀 อย่างแรกเลย คือ เรื่องของมุมมองวิสัยทัศน์ และสิ่งที่เราเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “คู่แข่ง” 


🌵 ทุกวันนี้เวลาเราทำธุรกิจ ถ้าเราคิดถึงคำว่าคู่แข่ง เราอาจจะมองแคบและใกล้ตัวมากเกินไป เช่น ถ้าเราเปิดร้านอาหารไทยอยู่บบถนนเส้นนี้ เราก็จะเทียบกับ 2-5 ร้านบริเวณใกล้ๆ เราว่า อ้อ ร้านนี้ขายพิซซ่า ร้านนี้ขายเกาหลี ร้านนี้อาหารอิตาเลียน มีเราขายอาหารไทยอยู่เจ้าเดียว งั้นเราไม่มีคู่แข่ง!!


แต่เดี๋ยวนี้โลกเรามันถูก Distrup ไปหมดแล้วค่ะ เราอาจจะไม่รู้ว่ามีร้านเล็กๆ ที่เค้าเปิดในซอยเล็กๆ ที่ขายอาหารไทยแบบเดียวกับเรา และเป็นเจ้าเดียวที่ขายอยู่บนแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ เช่น Uber Eats, Door Dash, Menulog, Deliveroo อยู่ก็ได้ และคนพวกนี้ก็นับเป็น “คู่แข่ง” ของเราด้วยค่ะ


Credit : Unsplach


🌵 ในหนังสือเล่มนี้ได้เล่าถึงสมัย 20 ปีที่แล้ว ที่มีบริษัทเทคโนโลยีเจ้าใหญ่แค่ 2 เจ้าคือ Google กับ Microsoft แล้วทั้งคู่ก็แข่งกัน เช่น Window เปิดตัว Search Engine มี Internet Explore , Google เค้ามี Chrome 


Google เก่งเรื่องเสิร์ชนักใช่มั้ย งั้น Microsoft ก็เข็น Bing ออกมาสู้บ้าง… เรียกว่าสู้กันยิบตาเลย โปรแกรมสำหรับทำธุรกิจเหรอ?? Window มี Microsoft Office อยู่ยั่งยืนยาวนาน เรียกได้ว่าถ้าเราต้องเรียนพิมพ์ดีดสมัยก่อนก็ต้องใช้ของ Window ทีนี้ Google ไม่ยอม จัดให้เลย Google doc, Google Excel แถมออนไลน์ได้ ใช้ที่ไหนก็ได้ อันนี้เจ๋งสุดๆ เป็นไงล่ะ


แต่รู้อะไรมั้ยคะ???


ขณะที่ 2 เจ้านี้กำลังฟาดฟันกันอยู่นั้น… มีบริษัทเล็กๆ แห่งนึง โลโก้เป็นรูปผลไม้แหว่ง (มะม่วง เอ้ย!!! ไม่ใช่ เป็นรูปแอปเปิ้ลแหว่งค่ะ - มุกไม่ฮาพาเครียดอีก) Apple มาจากไหนไม่รู้ อยู่ดีๆ เปิดตัวปฏิบัติการ IOS ที่เข้ามาเขย่าวงการเทคโนโลยีแบบถล่มทลายเลยค่ะ


ในปี 2013 มูลค่าตลาดของ Apple เจ้าเดียว $500 Billion จ้า 


ในปีเดียวกัน ปีที่ Google กับ Microsoft ตีกันเกือบตาย (เธอทำไร ชั้นทำมั่ง) มูลค่าตลาดรวมกันทั้ง 2 เจ้า เพิ่งจะแค่ $467 Billion เท่านั้นค่ะ


🌵 ย้อนกลับไปในวงการเทคโนโลยีการเงิน ที่กาลครั้งนึงนานมาแล้ว เราเคยมี PayPal เป็นเจ้าหลัก และจากในบรรดาคู่แข่งหลายๆ ค่ายที่พยายามแย่งชิงก้อนเค้กของ Digital Money กันนั้น บอกได้เลยว่าว่า คู่แข่งคนที่สำคัญและคนที่น่ากลัวที่สุด ของ Paypal ก็คือ X.com ของ Elon Musk นั่นเอง


ตอนนั้นทั้ง 2 ค่ายไฟ่กันหนักมาก X ทำอะไร Paypal ทำอันนั้น , Paypal ทำอะไร X ก็ทำด้วย…. เรียกได้ว่าแลกกันหมัดต่อหมัด ไม่ต้องได้พักกันไปเลย จนกระทั่ง…..


ทั้ง 2 เจ้าหันไปมองข้างหน้า แล้วถึงกับต้องตาเหลือกพร้อมกัน!!! 


ไม่ทันแล้วจ้า Financial Crisis is coming (วิกฤตการเงินครั้งมหึมากำลังจะมาแล้วจ้ะเธอจ๋า) ทั้งคู่เลยหันมาสบตากันปิ๊งๆ และเข้าใจตรงกันว่า ไม่ได้มีแค่คุณกับฉันแข่งกันแค่ 2 คนนะจ๊ะ เพราะถ้า Financial Crisis มาเนี่ย ตายทั้งคู่!! ไม่รอดทั้งคู่!! โชคดีที่ทั้งคู่คิดตรงกันก็เลยตัดสินใจรวมกันให้เหลือแค่เพียง เจ้าเดียว (คือ Paypal ในทุกวันนี้)



Credit : Unsplach

ผู้เขียนบอกว่าเค้าโชคดีที่เค้ามองออกว่า คู่แข่งของเค้าไม่ใช่ X ละ และ X เองก็มองออกว่าคู่แข่งของเค้าไม่ใช่ Paypal แล้ว แต่มันคือ Financial Crisis ต่างหาก และพอเค้าจับมือกันเลยรอดมาได้ (ใช่ค่ะ ผู้เขียน zero to one เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Paypal ค่ะ)


🌵 ตัวอย่างสุดท้ายเป็นธุรกิจของปะป๊าทาร่าเองค่ะ ปะป๊าของทาร่าขายอุปกรณ์ประมงอยู่ที่สงขลาค่ะ พวกอวน แห สมอ ถังเก็บความเย็น น๊อต เหล็ก ทุกอย่างที่ชาวประมงต้องใช้ในการออกทะเลเพื่อไปหาปลามาขายอ่ะค่ะ ตอนทาร่าเด็กๆ แถวบ้านทาร่าจะมีร้านแบบนี้อยู่ 5 ร้าน (ร้านคู่แข่งของปะป๊า??) 


30 กว่าปีผ่านไป…. ตอนนี้เหลือร้านปะป๊าร้านเดียวแล้วค่ะ (เย่ ??)


อย่าเพิ่งดีใจไปค่ะ ร้านอื่นๆ ที่เค้าปิดตัวไป เค้าไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับ “ร้านคู่แข่ง” อย่างปะป๊าของทาร่าหรอกค่ะ แต่เค้าปิดกันไปเพราะคนเค้าเลิกกันทำประมงกันแล้วค่ะ !!! เดี๋ยวนี้น้ำมันก็แพง แรงงานต่างชาติก็หายาก ปลาก็น้อย คนในท้องถิ่นก็ไม่ได้มีเงินมาซื้ออาหารทะเลอะไรมากมาย ตลาดส่งออกก็มีอาหารทะเลจากเวียดนามมาแข่งด้วย นี่ยังไม่รวมปลาเลี้ยง กุ้งเลี้ยงนะคะ พูดง่ายๆ คือ ตายไปทั้งวงการประมงนั่นแหละค่ะ 


(สาเหตุที่ปะป๊าทาร่ายังอยู่ได้ เพราะร้านอื่นเค้าปิดกันไปหมดนั่นแหละค่ะ แล้วก็มีชาวประมงกลุ่มเล็กๆ ที่ไม่อยากเปลี่ยนอาชีพ - ร้านปะป๊าก็เลยกลายเป็นร้านเล็กๆ ร้านเดียวในจังหวัด ที่ยังเปิดให้บริการชาวประมงกลุ่มเล็กๆ นี่อยู่)



🍀 ทาร่าอ่านแล้วก็รู้สึกคิดถึงเรื่องที่ Peter Diamandis เคยเล่าไว้ใน Tools of titans ของ Tim Ferriss ด้วยว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เราพยายามพัฒนาธุรกิจเราไป 10% - 20% เราก็จะมองเห็นแค่ทางที่ทำให้เติบโตได้ 10% - 20%”


และถ้าเมื่อไหร่ที่เรามอง “คู่แข่งของเรา” เป็นแค่คนที่ทำธุรกิจแบบเดียวกับเรา ความคิดของเราก็จะวนเวียนอยู่แค่กับคนที่ทำธุรกิจแบบเดียวกับเรา (เค้าทำไร เราทำมั่ง) และไปได้ไม่ไกลจากจุดเดิมเท่าไหร่


แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรามอง “คู่แข่ง” ให้ต่างออกไป หรือถามตัวเองว่า… ธุรกิจแบบไหนที่จะมา disrupt พวกเราทั้งหมดนี่ได้??? และเราพยายามแข่งกับธุรกิจแบบนั้น… หรือทำตัวเป็นธุรกิจแบบนั้นซะเอง…. ความคิดแบบนี้แหละที่จะทำให้ธุรกิจของเราเติบโตแบบก้าวกระโดด ไม่ได้แค่ 10 - 20% แต่เป็น 10X (10 เท่า) เลยล่ะ!!!


สำหรับใครที่อยากมีธุรกิจออนไลน์ที่เติบโตแบบ 10X วันนี้ทาร่ามีคอร์สมาแนะนำด้วยค่ะ

ทาร่าไม่ได้สอนเองนะคะ เป็นคอร์สของอาจารย์ทาร่าอีกทีค่ะ


ชื่อ Online Signature Master Class กับ Content Make Money ราคาเต็ม 24,900 ถ้าจองผ่านทาร่าจะได้ราคาพิเศษ 12,500 บาทเท่านั้นค่ะ


และใครที่ชอบคอนเทนต์พัฒนาตัวเอง ทั้งสุขภาพ การเงิน ธุรกิจ ความรัก ความสัมพันธ์ การเติบโต และจิตวิญญาณ ฝากติดตามไลน์ @tarathow ไว้หน่อยนะคะ ถ้าทาร่ามีคอนเทนต์ดีๆ จะส่งตรงให้ถึงมือถือเลยค่ะ

 

💞💞💞💞💞

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: จุด by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

Line: @tarathow



14 เมษายน 2565

ถ้าพ่อจะแนะนำลูกได้แค่เรื่องเดียว

เคยสงสัยไหมคะว่าถ้าคุณพ่ออยู่กับคุณลูกชายสองคน พวกเค้าจะคุยเรื่องอะไรกัน?? การ์ตูน หุ่นยนต์ เกมส์ที่ออกใหม่ล่าสุด กีฬาที่ทั้งคู่โปรดปราน ที่บ้านทาร่าหนุ่ม ๆ สองคนเค้าก็สนิทกันค่ะ หยอกล้อกันเป็นประจำ แต่สามีทาร่าจะมีคำสอนแอบแทรกอยู่ในนั้นบ่อย ๆ เช่น เรื่องนี้ค่ะ


เรื่องมีอยู่ว่าสองหนุ่มเค้าเมาท์กันตามปกติ และอยู่ดี ๆ คุณพ่อแทรกขึ้นมา…


       Credit: pixabay



พ่อมีคำแนะนำข้อนึงที่อยากให้เธอรู้นะ เธอรู้ไหมว่า… เราไม่สามารถทำให้ทุกคนมีความสุขและชอบเราได้ เรื่องแบบนี้มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เด็ดขาด!! ไม่ว่าเราจะทำอะไร หรือเราจะไม่ทำอะไร… เราจะเป็นอะไร หรือจะไม่เป็นอะไร…. เราจะมีอะไร หรือเราจะไม่มีอะไร… ยังไงก็ตาม เราจะไม่สามารถทำให้ทุกคน Happy กับความเป็นเราได้



ทาร่าฟังแล้ว อะหืออออ…. ปะป๊าคมกริ๊บ!! เท่ไปอี๊ก (สามีทาร่า มักจะมีคำพูดอะไรเท่ ๆ คม ๆ แบบนี้อยู่บ่อยๆ ประหนึ่งจบปรัชญามา ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเป็นเด็กเศรษฐศาสตร์เหมือนทาร่านี่แหละ)  



หลังจากที่ได้ยินหนุ่มน้อยกับหนุ่มใหญ่คุยกันแล้วทาร่าก็คิดถึงรูปนี้ขึ้นมาเลยค่ะ




🐪 รูปแรก คุณตา คุณยาย เดินจูงลากันไป… ก็มีคนมาคอมเม้นท์ว่า “โอ้ คน 2 คนนี้ขี่ลาไม่เป็นอ่ะ”


🐪 เมื่อได้ยินแบบนั้นก็เลย ทั้ง 2 คนก็เลขขึ้นไปขี่ลา… และก็มีคนมาคอมเม้นท์อีกว่า “คุณตา คุณยาย คู่นี้ใจร้ายกับสัตว์จังเลย”


🐪 งั้นเอาใหม่ ให้คุณตาเดินข้างล่าง แล้วคุณยายขี่ลาคนเดียวพอ… แต่ก็ยังมีคนคอมเม้นท์อยู่ดี “ผิดหลักการ ผู้ชายเป็นผู้นำของผู้หญิง ควรจะเป็นคนขี่ลาสิ”


🐪 โอเค งั้นคุณตาขึ้นไปขี่ลา แล้วให้คุณยายเดินข้างล่างแทน….. จนแล้วจนรอดก็ยังมีคนคอมเม้นท์อยู่ดีว่า “ช่างเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวจริงๆ เขาควรที่จะเห็นใจภรรยาของเขาบ้างสิ”


🐪 สุดท้ายแล้วคุณตากับคุณยายก็เลยลงจากลา และช่วยกันอุ้มลาแทน….. แต่ก็ยังมีคอมเม้นท์ตามมาอยู่ดีว่า “สองคนนี่โง่จริงๆ เลย พวกเขาจะอุ้มลากันทำไม” 


บทสนทนาของปะป๊ากับลูกชายในวันนั้น และรูปในการ์ตูนเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า


🌈 1. เราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ ทั้งไม่มีวัน และไม่มีทาง!! ไม่ว่าคุณเป็นใคร ทำอะไร ไม่ทำอะไร มีอะไร ไม่มีอะไร เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรก็ตาม (เครดิต: ปะป๊าเลยค่ะ คมกริ๊บ บาดใจ ฝังลึกมาก - คนอะไรก็ไม่รู้ หล่อเนอะ 😁


🌈 2. ไม่ว่าคุณทำอะไรก็ตาม ทำใจไว้เลยว่าจะมีคนที่มีคิดต่างกับเรา เพราะฉะนั้นอย่าได้แปลกใจกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น


🌈 3. ถ้าอะไรก็ตามที่เราคิดว่ามันถูก มันควร เราก็ต้องมีจุดยืนและเชื่อมั่นในตัวเอง เราต้องกล้าที่จะยื่นหยัดในความคิดของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะมีคนอื่นคอมเม้นท์เราอยู่ก็ตาม (ถ้าสิ่งที่เราทำไม่ได้ผิดกฎหมาย ผิดประเพณี ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน - ลุยโลดค่ะลูก!!) 



Credit: pixabay


อย่าให้คำวิจารณ์ของคนอื่นมาขัดขวางสิ่งที่เราเชื่อ หรือสิ่งที่เราทำ ต่อให้ใครคิดว่าไอเดียของเรามันบ้า มันทำไม่ได้หรอก แต่ชีวิตที่ผ่านมาสอนทาร่าเข้าใจว่า ยังไงซะก็ไม่มีทางที่ทุกคนจะเข้าใจเรา 100% ได้หรอก อ่อ! อย่าว่าแต่เข้าใจเลย เอาแค่สนใจและพยายามทำความเข้าใจก็ยังหายากเลย (คือทุกคนเค้าก็มีชีวิต ความฝัน เป้าหมาย เป็นของตัวเองกันอยู่แล้ว ไม่มีใครเค้ามาใส่ใจกับความคิด ความฝัน ความพยายามของคุณนักหรอก เชื่อสิ) 


เพราะฉะนั้น ชีวิตของเรา ความฝันของเรา ก็มีแต่เรานี่แหละที่จะสามารถทำมันได้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่พ่อลูกเค้าคุยกันในหัวข้อ “ถ้าพ่อจะสอนลูกได้แค่เรื่องเดียว” ที่ทาร่าชอบมาก ๆ และแอบเอามาใช้ได้ด้วยเหมือนกันค่ะ


ส่วนอีกคำถามที่ทาร่าเจอบ่อยๆ คือ “หล่อและคมขนาดนี้ แกไปเจอมาจากไหนวะ??”


อ่าา… ตอบไงดีอ่ะ เสกออกมาจากความฝันเลยค่ะ อยากได้แบบไหน ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างก็หารูปมาแปะแล้วแปะไว้หัวเตียงมันนี่แหละ 😆😆😆 จริง ๆ แล้วมันง่ายจริง ๆ นะ ใครที่มี Vision Board เค้าก็ออกแบบชีวิตในฝันกันได้ทุกคนแหละ ชีวิตนี้ทาร่ายังไม่เคยเจอใครที่ทำ Vision Board แล้วยังไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจไว้เลย 


มีแต่คนที่ไม่รู้จักหรือยังไม่เคยใช้นี่แหละ ถ้าคุณเป็นหนึ่งในนั้น… ขอแนะนำเล่มนี้เลยค่ะ ของดีต้องจัด!!


📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: จุด by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

Line: @tarathow





12 เมษายน 2565

3 คำถามกริ๊บ ๆ ที่ [อาจ] จะช่วยพลิกชีวิตคุณ [ก็ได้]

จากเซลล์ก็อกก๋อย ขายอะไรก็ไม่มีใครซื้อ อยู่ดี ๆ ชีวิตก็ขึ้นพุ่งกลายเป็น Top Sales บุคคลนี้คือ Tim Ferriss ผู้เขียนหนังสือ The 4-Hour Work Week (ชื่อภาษาไทย ทำน้อยให้ได้มาก) ไอดอลของทาร่าคนนึงเลยค่ะ

ทาร่าชอบชุดความคิดหลาย ๆ อย่างของทิมมาก รู้สึกว่ามันทำได้จริง และมันก็เปลี่ยนชีวิตทาร่าไปจริง ๆ (ตั้งแต่วันที่อ่านหนังสือของทิม) ทาร่าติดตามทิมตามช่องทางโซเชียลมีเดีย และวันนึงก็ได้รับเมลของเขาที่มาในหัวข้อว่า “17 คำถามที่เปลี่ยนชีวิตฉัน” 


ทาร่าว่ามันเจ๋งมากๆ และมี 3 คำถามที่ทาร่าชอบเป็นพิเศษ อยากมาแชร์ให้เพื่อน ๆ กันค่ะ 


Credit : tim.blog


🌵 คำถามแรก ถ้าฉันทำทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับคนทั่วไปจะเกิดอะไรขึ้น?


Tim เล่าให้ฟังว่า เขาค้นพบคำถามนี้เมื่อตอนที่เป็น ‘พนักงานขาย’ และทำงานตอน 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น ในขณะที่พนักงานขายทุกคนทั้งใช้โทรศัพท์ ทั้งส่งอีเมล์ในเวลาทำงาน แต่เขากลับคิดต่อได้ว่า…. คนที่มีอำนาจตัดสินใจ ผู้บริหารตำแหน่งใหญ่ ๆ เค้าก็มีเลขากันทั้งนั้น แล้วช่วง 9-5 โมงนี่ก็เป็นเวลาที่เลขาพวกนี้ทำงานเหมือนกัน ถ้าเราจะไปเสนองานอะไรก็จะโดนเลขาพวกนี้แหละที่ “รับเรื่อง” ไว้ก่อน จนไม่ถึงตัวผู้บริหารซักที


Tim เลยคิดไอเดียเล่น ๆ ว่า แล้วถ้าเราไม่เสนองานตอน 9 โมงเช้าล่ะ?? เขาลองโทรไปขายงานตอน 7 โมงเช้า - 8 โมงครึ่งในตอนเช้า และช่วง 6 โมง - 1 ทุ่มหลังเลิกงาน… และมันก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจมากๆ เพราะผู้บริหารใหญ่ๆ คนที่มีอำนาจตัดสินใจหลายๆ คนก็ทำงานแบบมาก่อน กลับทีหลัง และยังไม่มีใครมากรองโทรศัพท์ให้พวกเขาอีกด้วย!!!


และ Tim ก็ยังเคยทำอะไรแปลกๆ อีก เช่น แทนที่จะโทรไปหาลูกค้าแล้วบอกว่ามาจากแผนกขาย แต่บอกว่าตัวเองเป็นวิศวกรของบริษัทนะ เฮ้ย!! มันก็ได้ผลอีก เพราะลูกค้ารู้สึกเหมือนกำลังคุยกับคนที่จะมาช่วยเค้าแก้ปัญหา/มีทางออกมาเสนอ และไม่ได้มาขายอะไร


หรือมีอีกครั้งนึงที่ Tim เบื่อการส่งอีเมลหาลูกค้าและต้องลงท้ายแบบเดิม ๆ ว่า “ผมรอฟังคำตอบจากคุณ อยู่นะว่าเมื่อไหร่เราเจอกัน” เขาก็เลยลงท้ายไปแว่า “ขอบคุณมากที่อ่านมาถึงจุดนี้ ผมรู้ว่าผมเสียเวลาคุณมามากแล้ว และผมจะจบแค่นี้แหละ” แล้วลองดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น กลายเป็นว่าลูกค้าโทรนัดเฉยเลย 😅


⭐️ และนี่ก็เป็นข้อคิดข้อแรกจากทิม ถ้าวิธีเดิม ๆ ไม่เวิร์ค ลองทำตรงกันข้างกับวิธีเดิม 


 Credit : tim.blog


🌵 คำถามที่ 2 คือ ถ้าเรามีเวลาทำงานได้แค่อาทิตย์ละ 2 ชม. เราจะทำอะไร?


ข้อนี้ดูเหมือนกดดันตัวเองไปหน่อย แต่ก็เป็นคำถามที่เปลี่ยนชีวิต Tim ไปเลย (เปลี่ยนชีวิตทาร่าด้วยค่ะ ลองแล้วเหมือนกัน) แค่จินตนาการดูเล่น ๆ ว่าถ้าเราไม่สบายจนถึงต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วหมอให้เวลาคุณทำงานแค่อาทิตย์ละ 2 ชั่วโมงเท่านั้น เราจะทำยังไง?? มีอะไรที่สำคัญจริง ๆ เป็นหัวใจหลักที่เราต้องทำเองเท่านั้น และเราจะบริหารจัดการกับงานอย่างอื่นยังไง??


หรือถ้าจินตนาการเรื่องโรงพยาบาลไม่ออก ลองจินตนาการจากเหตุการณ์จริง ๆ ในชีวิตของ Tim เลยก็ได้ค่ะ เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่เขาไม่มีเวลาให้แฟนเก่า เพราะทำงานเยอะเกินไป สุดท้ายก็เลยโดนเท ทำให้ชีวิตสับสน ว้าวุ่น ทำอะไรไม่ถูกอยู่ช่วงนึง จนรู้สึกว่าไม่ได้ฉันต้องแปลงร่างเป็นพี่ป้าง คือต้องทำ ทำอะไรสักอย่างแล้ว (แน่ะ มุก 3-5 บาทก็ขอซักนิดนะคะ 😄) 


⭐️ ก็เลยกลายเป็นที่มาของคำถามนี้… ถ้าเขาไม่สามารถเปลี่ยนวิธีการทำงานของตัวเอง (และธุรกิจยังไปต่อได้) เขาก็ต้องปิดบริษัทแล้วแหละ เพราะธุรกิจแบบนี้ไม่เหมาะกับชีวิตของเขาในระยะยาวแน่นอน

                                                                            Credit : tim.blog


🌵 คำถามสุดท้ายและเป็นคำถามที่เขาถามตัวเองบ่อย ๆ คือ ฉันจะแก้ปัญหานี้ด้วยเงินได้ยังไง?


เฮ้ย!! นี่มันเป็นคำถามที่เท่ห์มาก 👏👏👏 Tim ได้อธิบายไว้แบบนี้ค่ะ ในตอนเราเริ่มทำงานใหม่ ๆ เราทุ่มเททั้งเวลา แรงงาน แรงใจ พลังสมอง และพลังชีวิต ทั้งหมดของเราเพื่อแลกกับ “เงิน”


และเมื่อเรามี “เงิน” มากพอแล้ว เราก็ต้องใช้เงินให้มันคุ้มๆหน่อย ทั้งความสุข ความสบาย แลกเวลา พลังกาย พลังใจ เอาชีวิตของเราคืนมา อะไรที่ใช้เงินแก้ปัญหาได้ เราก็ควรที่จะทำมันโดยไม่ต้องคิดมาก (นี่!!! ไอดอลทาร่าเลย รักเลยประโยคนี้ 🥰) 


⭐️ และ Tim ยังปิดท้ายด้วย Quote ของ Dan Sullivan ไว้ด้วยว่า 


“ถ้าคุณมีเงินมากพอที่จะแก้ปัญหาได้ คุณจะไม่มีปัญหาอีกแล้ว” ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ (ให้ 5 ดาวไปเลยค่ะ)


เป็นยังไงบ้างคะ กับ 3 คำถามกริ๊บ ๆ ที่อาจพลิกชีวิตคุณได้ ทาร่าคิดว่า “คุณภาพของคำถาม” ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะบอกว่าเราจะมี “คุณภาพชีวิต” แบบไหน


(คำถามที่คมจะช่วยให้เราได้รับคำตอบที่คมไปด้วย ถ้าไม่เชื่อลองไปดูรายการคุณหนุ่ม กรรชัย ดูได้… คำตอบจะออกมาแบบไหน จะเกิด จะดับ ก็ขึ้นอยู่กับคำถามนี่แหละ 🤣🤣🤣)


นอกจาก 3 คำถามกริ๊บ ๆ จาก Tim Ferriss แล้ว ทาร่าก็ยังมีอีกหนึ่งเทคนิคที่ทาร่ารักมากๆ ที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตทาร่ามาแล้ว 👉 Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ แค่ตั้งใจทำตามหนังสือเล่มนี้ ใคร ๆ ก็สามารถมีชีวิตที่ดีงามได้ คอนเฟิร์มค่ะ


📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: จุด by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

Line: @tarathow