08 มีนาคม 2565

ความหมายของคำว่าอุปสรรคที่ไม่ได้อยู่ในพจนานุกรม

เมื่อพูดคำว่า "อุปสรรค" หลานคนอาจจะเบ้ปากมองบน แล้วร้อง เง้อออ… ไม่อยากได้ ไม่อยากเจอ ไม่อยากมี เหมือนมันเป็นผี ที่ใครๆ ก็ต้องวิ่งหนี แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ!! กลับมาก่อน วันนี้ทาร่าจะมาอธิบายความหมายของคำว่า "อุปสรรค" ในอีกมุมมองนึกที่ทุกคนอ่านแล้วจะต้องพยักหน้าเห็นด้วย 


ไปกันเลยค่ะ 💃💃💃



ถ้าเริ่มจากพจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน ความหมายของ "อุปสรรค" คือ เครื่องขัดข้อง ความขัดข้อง ความขัดขวาง 



แต่ว่าจริงๆ แล้วคำว่า "อุปสรรค" ยังมีอีกความหมายนึง ที่ทาร่าไปฟัง/อ่าน/เรียนมาจากสำนักไหนก็จะไม่ได้แล้ว แต่อยากจะสรุปไว้ตามนี้ค่ะ



📌 "อุปสรรค" คือ ตัวเร่งในการเติบโต 



ถามว่ามันเป็นตัวเร่งในการเติบโตยังไง? มันเป็นอย่างนี้ค่ะ เพื่อนๆ เคยสังเกตมั้ยคะว่า เมื่อไหร่ที่ชีวิตของเราสุขสมบูรณ์ สบายกาย สบายใจ เราจะมีชีวิตอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย (Comfort zone) และจะไม่มีการเติบโตเกิดขึ้น



แต่..  แต่…. แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีอุปสรรคเข้ามา มันจะเป็นตัวจุดชนวนให้เราฉุกคิดได้ว่า "ไม่ได้นะ เราต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างนึง" และสุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะเลือกเปลี่ยนแปลงแบบไหน หรือวิธีใดก็ตาม ทาร่าก็เชื่อว่าจะนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น เหมือนสำนวนฝรั่งที่บอกว่า


Credit : Unsplash 


What doesn't kill you make you stronger.



ถ้า (อุปสรรค) มันไม่ทำให้คุณตาย มันก็จะทำให้คุณโต



🌈 ทาร่าขอยกตัวอย่างธุรกิจของทาร่าเองนะคะ ทาร่าเคยเปิดโรงเรียนสอนภาษาไทยให้เด็กๆ ที่อยู่ในซิดนีย์ค่ะ ออฟฟิศของเราอยู่ในเมืองเลย เรามีเด็กนักเรียนมาเรียนเพิ่มเรื่อยๆ โดยอาศัยการทำตลาดผ่าน Facebook เป็นหลัก แต่…. แต่……. เราก็สังเกตุเหมือนกันว่า นักเรียนของเราส่วนใหญ่จะเรียนได้ไม่นาน พอมาเรียนได้สัก 1-2 เทอมก็มักจะมีเหตุผลที่ต้องหยุดไป เช่น ไปเตะบอล ไปเรียนเต้น ร้องเพลง บางคนก็ต้องติวเลข ติวอังกฤษ บางคนก็หายไปเฉยๆ โดยให้สาเหตุว่าลูกไม่ชอบ คุณแม่ก็ไม่อยากบังคับ



ซึ่งในช่วงแรก เราก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ จนกระทั่งวันนึงมีผู้ปกครองท่านนึงเดินมาบอกตรงๆว่า คุณครูคะ ลูกเราเรียนแล้วไม่ได้ผลอ่ะ คุณครูวางแผนการสอนยังไงเหรอ?? ใช้หลักสูตรของที่ไหน?? และมีวิธีวัดผลยังไง?? ทั้งๆ ที่ลูกเค้าเป็นคนขยัน ตั้งใจเรียน เค้าเรียนวิชาอะไรก็ได้ผล แต่มาเรียนภาษาไทยที่โรงเรียนทาร่าแล้วไม่ได้ผล และไม่ได้มีแต่คุณแม่ที่คิดแบบนี้นะคะ ผู้ปกครองคนอื่นเค้าก็คิดเหมือนกัน!!! (บางทีก็เจอกันในลิฟท์ บางคนก็เป็นเพื่อนกัน บางคนก็เจอกันหน้าโรงเรียนระหว่างรอรับลูก) 



ตัวคุณแม่เองก็กำลังลังเลอยู่ว่าเทอมหน้าจะให้น้องเรียนต่อดีรึเปล่า (เพราะเรียนไปก็ไม่ได้ผล) แถมยังกระซิบบอกด้วยว่า คุณแม่เตือนด้วยความหวังดีนะคะ ถ้าโรงเรียนของทาร่ายังไม่มีการปรับปรุงหลักสูตร ต่อไปนักเรียนก็จะยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะทุกคนเค้าก็เอาไปพูดต่อๆ กัน และจำนวนเด็กไทยในซิดนีย์ก็ไม่ได้มีเยอะแยะอะไร ต่อไปทาร่าต้องเหนื่อยแน่ๆ 



โห!! เจอหมัดนี้เข้าไป ทาร่าน็อคไปเลยค่ะ ทาร่าเลยปรึกษากับหุ้นส่วนว่า “มีคอมเมนต์มาแบบนี้เราจะปรับปรุงยังไงได้บ้าง??” และเราก็สรุปกันว่า… งั้นก็ช่วยกันพัฒนาหลักสูตร!!! พวกเราเลยไปรีเสิร์ชกันว่าคนไทยที่เรียนภาษาใหม่ (อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส) เค้าเรียนกันยังไง?? ชาวต่างชาติที่ประเทศไทย เค้าเรียนจากที่ไหน ใช้หนังสือเล่มไหน หลักสูตรอะไรกัน?? รวมไปถึงหนังสือแนวภาษาศาสตร์ กับคำแนะนำจาก polyglot ที่เค้าพูดได้ 7-8 ภาษา บางคนพูดได้ถึง 15 ภาษา เค้ามีวิธีการเรียนรู้ยังไง??

 

Credit : Unsplash 

ช่วงนั้นเราทำการบ้านกันหนักเลยค่ะ ช่วยกันรวบรวม รื้อตำราใหม่หมด เปลี่ยนหลักสูตรใหม่ทั้งโรงเรียน ทั้งฟังพูดแล้วก็อ่านเขียน ตั้งแต่ beginner จนถึง advance และก็ได้ผลค่ะ พอหลักสูตรดีขึ้น เริ่มมีนักเรียนมากขึ้น เราเองก็พูดถึงหลักสูตรของเราได้อย่างมั่นใจ เพราะเรารีเสิร์ชมาละเอียดยิบ ครบทุกแง่มุม ทุกมิติ เท่าที่เราพอจะหาข้อมูลได้ พอเอามารวมกับประสบการณ์ที่เคยสอนแล้วไม่ได้ผลอีก…. กล้าพูดเลยว่าโรงเรียนของทาร่านี่แหละ คือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง!!!



(💢 เชื่อมั้ยคะ ว่าประสบการณ์การสอนยังไงให้ไม่ได้ผลก็เป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการพัฒนาหลักสูตรของพวกเรา เนื้อหาที่เราเอาออก เก็บไว้ และเพิ่มเข้ามา มันสำคัญเท่าๆ กันนี่แหละ)



แต่ก็ไม่ใช่ว่าหลักสูตรดีแล้วโรงเรียนเราจะราบรื่นไปได้นาน……… เทอมถัดไปก็มีอุปสรรคใหม่มาอีกค่ะ รอบนี้เป็นหุ้นส่วนเลิกกับแฟน โดนยกเลิกวีซ่า ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ซิดนีย์ต่อ หรือต้องกลับไทยภายใน 3 เดือน 6 เดือน หรือ 2 ปีก็ยังไม่รู้ เราเลยต้องมาวางแผนกันใหม่อีก งั้นพยายามย้ายทุกอย่างไปออนไลน์มั้ย?? ระหว่างที่โรงเรียนในเมืองของเราก็สอนไปเรื่อยๆ แต่เราก็เปิดสอนออนไลน์ให้เด็กๆ ที่อยู่นอกเมือง ต่างเมือง ต่างประเทศไปด้วย ต่อยอดจากหลักสูตร ฐานลูกค้า แล้วก็ชื่อเสียงของโรงเรียนในเมืองเรานี่แหละ แล้วถ้าวันนึงหุ้นส่วนต้องกลับไทยจริงๆ เราก็แค่ปิดสาขาในเมืองไป แล้วเหลือไว้แต่โรงเรียนออนไลน์ที่เตรียมไว้แล้ว



คิดไว้อย่างเริ่ดหรูว่า ถึงตอนนั้นเราจะขยายธุรกิจไปทั่วโลก ทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ อเมริกา สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมถึงเด็กๆ ที่นานาชาติ ก็สามารถกลายมาเป็นลูกค้าของเราได้หมด อู้ยยยย เริ่ดสะแมนแตนมาก แต่… แต่… พอ launch ออกไปจริงๆ แล้วมันช่างยากเย็นปานเข็นครกขึ้นภูเขา ผู้ปกครองก็ไม่เคยออนไลน์ เด็กๆ ก็ไม่คุ้น คุณครูก็ยังสอนไม่คล่อง ตอนนั้นยังไม่มี zoom ด้วย ใช้ skype กัน เรียกว่าทุลักทุเลเอาการเลยค่ะ



เดชะบุญ โควิดรอบแรกมาพอดี หุ้นส่วนติดอยู่ที่นี่จนเจอรักใหม่และได้กลับมาถือวีซ่าคู่ครองอีกครั้ง (เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย!!!) ส่วนเด็กๆ ก็ติดอยู่ที่บ้าน ทุกโรงเรียนหันมาสอนออนไลน์กันหมด ทุกคนรู้จัก zoom และใช้คล่องเหมือนเป็นของคู่กันกับเด็กยุคมิลลิเนี่ยม ผู้ปกครองที่หากิจกรรมให้เด็กๆ ทำ พอมาเจอเราก็ลงทะเบียนกันมารัวๆ เลยค่ะ จาก 30 ประเทศทั่วโลก อยู่ดีๆ โรงเรียนออนไลน์ของเราก็ take off ไปพร้อมๆ กับการปิดตัวลงของโรงเรียนในเมือง (ที่ไม่มีใครไปเรียนแล้ว ทุกคนเรียนจากบ้านกันหมด)


Credit : Unsplash 



แต่อย่าค่ะ อย่าคิดว่าการเดินทางจะจบแค่นี้ พอแก้ปัญหานึงได้ ปังอยู่แป้บๆ ก็เจออุปสรรคใหม่อีกแล้วค่าาา… คนทำธุรกิจออนไลน์น่าจะคุ้นเคยกับปัญหานี้ดี คือ อยู่ดีๆ Facebook Ads ก็เพี้ยน จากที่ยิงไปแล้วได้ลูกค้ารัวๆ มีอยู่ช่วงนึงคือตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไปเลยค่ะ จ่ายทิ้ง จ่ายขว้าง จ่ายจนใจหาย แล้วไม่ได้นักเรียนมาซักคน!!! ทาร่าก็ต้องมาปรับกลุ่มเป้าหมายใหม่ เรียนรู้วิธี SEO ทำเว็บไซต์ หัดเล่น IG Youtube ต่างๆ นานา และที่สำคัญ…. ไม่ได้ผลซักอย่าง!!! (ในตอนนั้นนะ)



สุดท้ายก็เลยกลับมาตั้งหลักที่ฐานลูกค้าเดิม จัดกิจกรรมให้เด็กๆ ผู้ปกครองมาไลก์ เม้นต์ แชร์ เพื่อให้เฟสบุ๊คเรียนรู้กลุ่มเป้าหมายใหม่ แล้วค่อยกลับไปยิงแอดอีกครั้ง



แล้วเฟสบุ๊คก็ปิดบัญชีแอด



แล้วก็ทะเลาะกับหุ้นส่วน



แล้วก็ทำงานเยอะจนหุ้นส่วนป่วย



แล้วทาร่าก็ป่วยด้วย



พอแก้ปัญหานึงได้ไม่นาน เดี๋ยวก็มีปัญหาใหม่มาอีก เหมือนเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนตาย ตลอดไป๊.. หากมีเรา จะมีนาย ร่วมทางไม่มีไหวหวั่นนน 😅



ทุกวันนี้โรงเรียนของทาร่ามีคุณครู 17 คน ทีมแอดมิน 6 คน นักเรียน 300 คน และคุณครูในเครือข่ายอีก 70 คนจากทุกทวีปทั่วโลก…. ถามว่าปัญหาหมดไปจากพวกเรามั้ย?? 



ตอบตรงนี้เลยว่าไม่ค่ะ 🥲 ตอนโรงเรียนเล็กๆ ปัญหาก็เล็กด้วย (คือใหญ่สำหรับเราในตอนนั้น แต่พอมองย้อนกลับไป เรื่องแค่นี้เองเหรอ) แต่พอโรงเรียนใหญ่ขึ้น ปัญหาก็ใหญ่ขึ้นด้วยจ้าาา



จนทำให้ทาร่าเข้าใจเลยว่า… ทุกปัญหา ทุกอุปสรรค มันคือ ตัวเร่งใน การเติบโต 



ทาร่าหวังว่าเรื่องของทาร่าจะเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ ที่กำลังเจอปัญหาเจออุปสรรคอยู่ตอนนี้ด้วยนะคะ 



🌈 จำไว้นะคะว่า ปัญหา คือ ตัวเร่งในการเติบโต เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณสามารถแก้ปัญหาได้ ธุรกิจ/ชีวิตของคุณจะเติบโตขึ้นอีกก้าวนึง

 


🌈 และคุณจะกลายเป็นคุณในเวอร์ชั่นอัปเดท นั่นก็คือ คุณคนเดิมแต่แกร่งและเก่งกว่าเดิม 😎



🎯 ทาร่าให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเอง พยายามหาแนวคิด ไอเดียใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ทาร่าเป็นคนที่ดีกว่าเดิมในทุกวัน และเทคนิคนึงที่ทาร่ารักมากๆ คือการทำ Vision Board ค่ะ นี่เป็นเครื่องมือที่ใช้ง่ายและได้ผล 💯 ทาร่าขอฝากผลงานของทาร่าไว้ด้วยนะคะ 😘



📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow



07 มีนาคม 2565

โรงเรียนที่ซิดนีย์ให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรมากกว่าวิชาการ

เคยสงสัยมั้ยคะว่าทำไมเวลาจัดอันดับระบบการศึกษาของประเทศต่างๆ ‘ออสเตรเลีย’ ถึงมักติด Top 10 หรืออยู่อันดับต้นๆ ของโลกตลอดแน่นอนว่ามีหลายปัจจัยค่ะ แต่มีปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ระบบการศึกษาของประเทศนี้ดีมากๆ ในสายตาทาร่าคือเรื่องการให้ความสำคัญกับทัศนคติบางอย่าง ที่สำคัญมากกว่าเรื่องของวิชาการ และคะแนนสอบ เรื่องนี้ทาร่าอธิบายเพิ่มเติมไว้แล้วจากตอนที่แล้ว คลิก

มาค่ะ ทาร่าจะเล่าให้ฟังว่าโรงเรียนที่นี่ให้ความสำคัญกับอะไรมากที่สุด 


Credit: Unsplash 

ลูกชายของทาร่าเรียนอยู่โรงเรียนรัฐบาลในซิดนีย์ค่ะ สิ่งหนึ่งที่ทาร่ารู้สึกว่าโรงเรียนให้ความสำคัญมากคือเรื่องของ Growth Mindset กับเรื่องของ Fixed Mindset ค่ะ (สามารถเห็นได้จากโปสเตอร์ในห้องเรียน แล้วก็ newsletter รายสัปดาห์ที่โรงเรียนส่งมาด้วยค่ะ)



💢 แล้ว Fixed mindset กับ Growth Mindset มันคืออะไร??



Fixed Mindset คือคนที่มีกรอบแนวคิดแบบยึดติด หรือ การที่เรามีความคิดที่ไม่ยืดหยุ่น สิ่งนี้เป็นอย่างนี้และมันต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น เช่น ฉันเรียนเลขไม่ได้ เพราะฉันไม่เก่ง จบ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว



ส่วน Growth Mindset คือ คนที่มีกรอบความคิดแบบเติบโต โรงเรียนที่นี่พยายามสอนให้เด็กๆ คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เราสามารถแก้ไข สามารถทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ เช่น ยูไม่เก่งเลข ยูก็แค่ต้องลองอีก ลองอีก ลองวิธีนี้ไม่ได้ ก็ลองวิธีอื่น ลองวิธีอื่นยังไม่ได้ ก็แค่ลองวิธีอื่นอีก ลองไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เรา ยังไม่ท้อ วันนึงเราจะทำได้ เย้ 🥳



ทาร่าไม่แน่ในว่าโรงเรียนที่ออสเตรเลียเป็นเหมือนกันหมดรึเปล่า แต่ที่โรงเรียนของลูกชายทาร่าให้ความสำคัญกับทัศนคติแบบนี้มากๆ 



บางทีที่ทาร่าบ่นกับลูกว่า มัมมี่เหนื่อยจังเลย ทำไมชีวิตมันยากอย่างนี้ เจ้าลูกชายก็จะมากอดให้กำลังใจ และบอกว่า "ไม่เป็นไรนะ ยูแค่ต้อง Try again (ลองอีกครั้ง)"



โรงเรียนเค้าปลูกฝังมาดี จนแม่ต้องขอคำปรึกษาต่อว่าแล้วแม่ควรจะลองไปถึงเมื่อไหร่? ต้องพยายามไปถึงไหน? เมื่อไหร่ที่เราควรจะยอมแพ้? แล้วยอมรับว่า มันเป็นไปไม่ได้!!



Credit : dartmouth.edu


ลูกชายทาร่าตอบมาน่าตกใจมาก คำตอบของเค้า คือ



"Never (ไม่มีวัน) ยูต้องไม่มีวันยอมแพ้ ถ้าวิธีที่ทำอยู่มันไม่เวิร์ค ยูก็แค่ต้องลองอีกครั้งในวิธีที่มันต่างออกไป แค่นั้นเอง"



ทาร่าว่าความคิดแบบนี้มันดีมากๆ เลย เพราะเวลาที่เค้าไปโรงเรียนแล้วเจอวิชาที่เค้าทำไม่ได้  เค้าจะคิดแบบนี้เหมือนกันหมด ทั้งครู ทั้งเด็ก ทั้งเพื่อน ว่านี่ไม่ใช่เรื่องตายตัวอะไร พวกเราทุกคนสามารถทำให้มันดีขึ้นได้ 😘



ทาร่าเคยเขียนเรื่องการเรียนของเด็กๆ ที่นี่ไว้ใน e-book เล่มเล็ก ที่ลูกชายเป็นคนวาดรูปประกอบให้ เล่มนี้เหมาะกับคุณแม่ที่มีลูกทุกคนเลยค่ะ ไม่ว่าลูกของคุณจะเรียนเก่ง หรือเรียนไม่เก่ง ทัศนคติและวิธีการสอนของโรงเรียนที่ออสเตรเลียจะช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับคนจนต้องร้องว้าว!! แบบที่ทาร่าเองได้เจอมาแล้ว

 

เชิญตำได้ตามช่องทางข้างล่างนี่เลยค่ะ 

 

📙 หนังสือ "ตอน ไมเคิลเรียนไม่เก่ง" โดย Tara Thow

 

Ookbee: https://bit.ly/3mYvGGx

 

Meb: https://bit.ly/3aKmcsF

 

 

💞 ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow











06 มีนาคม 2565

โรงเรียนที่ซิดนีย์มีวิธีการคุยกับเด็กเรียนไม่เก่งยังไง

ทาร่าอยากมาแชร์ให้เห็นถึงวิธีการสอนเด็กๆ ของประเทศออสเตรเลียค่ะ คือ ลูกชายของทาร่าเอง

ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้น ป.3 กำลังจะขึ้น ป.4 เป็นเด็กที่เรียนไม่เก่งเอามากๆ แม่เปิดดูการบ้านลูกทีเราแล้วอยากจะร้องกรี๊ดทุกทีเลยค่ะ


ดีที่โรงเรียนที่ออสเตรเลีย เค้าไม่มีการสอบจัดลำดับ ว่าเด็กคนไหนสอบได้ที่เท่าไหร่เหมือนตอนที่ทาร่าอยู่เมืองไทย ไม่แน่ใจว่าเดี๋ยวนี้ยังมีการจัดลำดับแบบนี้อยู่รึเปล่า ยิ่งโรงเรียน ม. ต้น ของทาร่านี่หนักเลยค่ะ ถึงขนาดเอาคะแนนตอนสอบเข้ามาเรียงลำดับแล้วทำเป็นเลขประจำตัวเลยตั้งแต่ 1 ถึง 52 เลยค่ะ เลขที่ 1 คือคนที่สอบเข้ามาด้วยคะแนนเต็ม ส่วนคนที่ 52 คือคนสุดท้ายในโควต้าห้องคิงส์ (ลำดับถัดไปจะเป็นเลขที่ 1 ของห้องควีนละ) ว่าไปนั่น!!! 


โรงเรียนที่นี่เค้ามีการสอบในแต่ละเทอม แต่ไม่ได้บอกคะแนนเด็กกับผู้ปครองค่ะ ในรีพอร์ตจะบอกแค่


🟦 ลูกคุณเข้าใจมากกว่าระดับที่เรียนอยู่

🟩 ลูกคุณเข้าใจตามระดับที่กำลังเรียนอยู่

🟨 ลูกคุณกำลังทำความเข้าใจในระดับที่เรียนอยู่


ซึ่งลูกชายทาร่าคว้า 🟨 มารัวมาก!! ดูแล้วไม่เข้าเกณฑ์เลยซักกะวิชา จนแม่นี่ต๊ะกะใจ แต่พอได้คุยกับเค้าแล้วก็ยิ่งต๊ะกะใจเข้าไปอี๊กกก….



  Credit : Unsplash


มนุษย์แม่: รีพอร์ตออกมาแบบนี้ ยูโอเคมั้ย 


มนุษย์ลูก: โอเคสิ ครูบอกว่าข้อสอบมีไว้วัดระดับความเข้าใจของเด็กๆ คุณครูไม่ได้ต้องการให้เราทำให้ถูกหมด ครูแค่ต้องการให้เราทำอย่างสุดความสามารถ คุณครูจะได้รู้ว่าเราเข้าใจแค่ไหน และเรื่องไหนที่เด็กๆ ไม่เข้าใจกันเยอะๆ ครูจะได้หาวิธีอื่นมาสอนพวกเรา


ป๊าดดดดดดดด…. ทัศนคติช่างดีงาม ราวกับหลุดออกมาจากทุ่งลาเวนเดอร์ แต่แม่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง


มนุษย์แม่: แต่ยูยังไม่เข้าใจเยอะมากเลยนะ


มนุษย์ลูก: ใช่สิ ทุกคนต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ แม่ไม่ต้องเครียด


กราบบบ…. โรงเรียนที่นี่เค้าสอนไว้ดีงามมากๆ ทาร่ากับลูกยังคุยกันอีกหลายประโยคเลยค่ะ พยายามอ้อมไป อ้อมมา เผื่อลูกจะหลุดอะไรออกมาบ้าง แต่ไม่มีเลยจริงๆค่ะ ทุกคำถามที่ถามไป ลูกชายทาร่าตอบกลับมาได้ด้วยทัศนคติที่ดีมาก เช่น


มนุษย์แม่: แล้วเพื่อนๆ ยูเค้าเป็นยังไงกันบ้าง ยูรู้มั้ย


มนุษย์ลูก: ครูบอกว่าเราไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะทุกคนก็มีความถนัดเป็นของตัวเอง ถ้าทุกคนเก่งเหมือนกัน เก่งวิชาเดียวกันหมด โลกใบนี้ก็จะน่าเบื่อ


มนุษย์แม่: แล้วยูเคยลอกเพื่อนบ้างมั้ย (สมัยแม่เรียน แม่ลอกเพื่อนตอนสอบด้วยนะ)


มนุษย์ลูก: ไม่ลอก เพราะเพื่อนเค้าก็อาจจะผิดได้เหมือนกัน เราต้องเชื่อตัวเองสิ


Credit : Unsplash


ที่โรงเรียนเค้าจะมีแบ่งวิชาเลขออกเป็น 3 กลุ่ม นักเรียนส่วนใหญ่จะนั่งเรียนในคลาสปกติ แต่จะมีนักเรียนบางคนที่เก่งมากๆ ที่ครูจะแยกไปสอนต่างหากในห้อง แล้วก็จะมีนักเรียนอีกกลุ่มที่อ่อนสุดๆ ครูจะแยกออกไปเรียนต่างหากอีกเหมือนกัน


และแน่นอนว่าลูกชายของทาร่าก็อยู่ในกลุ่มหลังสุดอีกเหมือนเดิม



มนุษย์ลูก: ยูโอเคมั้ย? อายเพื่อนมั้ยที่โดนแยกไปเรียนอีกห้องนึง ไม่ได้เรียนคลาสปกติไปพร้อมเพื่อนๆ


มนุษย์ลูก: โอเคสิ ไม่เห็นน่าอายเลย พวกเราแค่มีวิธีการเรียนรู้ต่างจากคนส่วนใหญ่ ครูแยกพวกเรามาเพื่อสอนด้วยวิธีพิเศษที่ตรงกับวิธีการเรียนรู้ของพวกเรา


อื้อหือออ… รักครู รักโรงเรียน รักระบบการศึกษาประเทศนี้มาก 😍


ทำไมเค้าเลือกใช้คำพูดได้ดีงาม อ่อนโยนต่อจิตใจเด็กได้เบอร์นี้ ทาร่ารู้สึกว่าการสอนแบบนี้เด็กๆ จะไม่กดดันและเข้าใจโลกว่า เราไม่ต้องเก่งไปซะทุกเรื่องก็ได้ เพราะอย่างที่คุณครูบอกเลยค่ะ ว่าคนเรามีเรื่องถนัดไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น


และการที่เราได้คะแนนน้อยตอนนี้ ไม่ได้แปลว่าเราไม่เก่ง เราสอบตก หรือเราไม่ฉลาด แต่เราแค่กำลังเรียนรู้ในเรื่องนั้นอยู่ ซึ่งเด็กแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้และใช้ระยะเวลาที่ต่างกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ขอแค่เด็กๆ ยังไปโรงเรียนอย่างมีความสุข และความเชื่อที่ว่าพวกเขาสามารถเรียนรู้ได้ต่างหากที่สำคัญกว่า



ทาร่าเคยเขียนเรื่องการเรียนของเด็กๆ ที่นี่ไว้ใน e-book เล่มเล็ก ที่ลูกชายเป็นคนวาดรูปประกอบให้ เล่มนี้เหมาะกับคุณแม่ที่มีลูกทุกคนเลยค่ะ ไม่ว่าลูกของคุณจะเรียนเก่ง หรือเรียนไม่เก่ง ทัศนคติและวิธีการสอนของโรงเรียนที่ออสเตรเลียจะช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับคนจนต้องร้องว้าว!! แบบที่ทาร่าเองได้เจอมาแล้ว

 

เชิญตำได้ตามช่องทางข้างล่างนี่เลยค่ะ 

 

📙 หนังสือ "ตอน ไมเคิลเรียนไม่เก่ง" โดย Tara Thow

 

Ookbee: https://bit.ly/3mYvGGx

 

Meb: https://bit.ly/3aKmcsF

 

 

💞 ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow



01 มีนาคม 2565

จุดอ่อนของคนที่เก่งที่สุด

 ทุกคนคิดว่าจุดอ่อนของคุณคืออะไรคะ?? เราขี้เกียจ เราไม่อดทน เราหัวร้อน เราใจเย็น ทำอะไรเชื่องช้าเกินไป ทุกคนล้วนมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่ง…… คนที่ประสบความสำเร็จ!!!


เรื่องนี้ทาร่าได้มาจากหนังสือ Big ideas for Curious Minds and Introduction to Philosophy ถ้าแปลเป็นไทยคือ หนังสือปรัชญาเบื้องต้นสำหรับเด็กนั่นเองค่ะ 



เล่มนี้ได้มาจากความบังเอิญมากๆ เพราะสามีผู้ประเสริฐ มีความเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต มีความสุขในทุกวัน และก็อยากเห็นทุกคนรอบตัวมีความสุขด้วย ก็เลยไปซื้อหนังสือเล่มนี้มาให้เป็นของขวัญวันเกิดเด็ก 7 ขวบ!!! ไม่ใช่ลูกตัวเองด้วยนะ แต่เป็นงานวันเกิดเพื่อนลูก โอ๊ยยย แม่นี่คิดภาพตามแล้วถึงกับกุมขมับ เด็กชายวัย 7 ขวบกำลังนั่งแกะของขวัญวันเกิดตัวอย่างอย่างตื่นเต้น ผ่านไปแต่ละกล่องก็ลุ้นว่าจะได้อะไร และก็ค้นพบเจ้าสิ่งนี้….. หนังสือปรัชญาชีวิตสำหรับเด็ก ตึง!!! ถ้าเพื่อนเอาไปพูดต่อที่โรงเรียน ต่อไปคงจะไม่มีใครอยากชวนลูกเราไปงานวันเกิดแล้วล่ะเธอ 😅



Credit : Pixabay


หนังสือเล่มนี้เลยกลายมาเป็นสมบัติของบ้านเราที่ปะป๊าบอกให้แม่เอามาอ่านให้ลูกฟังดุจดั่งนิทานก่อนนอนเพื่อเป็นแสงไฟส่องทางในชีวิตของลูกเราทั้งตอนนี้และตอนโต โวะ!!! แม่ส่ายหน้าด้วยความเพลีย แต่ก็ลองหยิบมาอ่านดู แล้วก็พบว่า…….. มันดือมาก!!! ใครมีลูกวัยประถมนี่แนะนำเลยค่ะ เป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ มีรูปประกอบพอกรุบๆ เนื้อหาแต่ละบทไม่เยอะ ไม่น้อยจนเกินไป อ่านคืนละบทกำลังดี… และที่สำคัญ ไม่ได้แค่สอนลูกนะคะ แต่คนเป็นแม่เองก็ได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กันด้วยค่ะ เล่มนี้ทาร่ารักเลย 💖



เอาล่ะโม้มาเยอะ ไม่ได้เปอร์เซ็นต์อะไรจากสำนักพิมพ์เลยนะคะ งั้นมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ 🥳



Weakness of strength theory (แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ทฤษฎีจุดอ่อนของจุดแข็ง) บอกไว้ว่า ทุกคน ทุกอย่าง บนโลกใบนี้ ล้วนมี ข้อดี และ ข้อเสียในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น



ยกตัวอย่าง ถ้าเราต้องการเดินทางไกล ข้ามประเทศ ข้ามทวีป ใช้เวลาน้อยที่สุด สบายที่สุด เราต้องนั่งเครื่องบินจริงมั้ยคะ จากซิดนีย์ไปประเทศไทยใช้เวลาแค่ 8 ชั่วโมง 



แต่… แต่… แต่…. ถ้าเราจะออกไปปากซอย ซื้อขนม ชานมไข่มุก ข้าวราดกะเพราไก่ไข่ดาวล่ะ?? ในเมื่อเครื่องบินเป็นยานพาหนะที่สุดยอดมากๆ สามารถขนคนได้ทีละเป็นร้อย แถมยังเดินทางได้ไกล ในเวลาอันรวดเร็วอีก งั้นเราควรนั่งเครื่องบินไปใช่ไหม?? คำตอบ คือ ไม่ใช่!!! ไม่ใช่แค่ไม่เหมาะ ไม่ควร แต่มันเป็นไปไม่ได้เลย จริงมั้ย!!



✈️ จุดแข็งของเครื่องบิน คือ มีขนาดใหญ่ สามารถเดินทางไกล ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เครื่องบินถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการเดินทางไกล ด้วยข้อดีของเค้านี่แหละที่กลายมาเป็นข้อจำกัดสำหรับการเดินทางในระยะสั้นด้วยเช่นกัน



 Credit : Pixabay


🌈 ตามสำนวนว่า Put the right man on the right job เราต้องใช้คน ให้เหมาะกับงาน หากคุณเป็นนักฟุตบอล คนตัวเล็ก วิ่งเร็ว ต้องอยู่กองหน้า จะให้คนตัวเล็ก วิ่งเร็วไปอยู่กองหลัง ไปเป็นนายประตู ก็ไม่ได้ 



บางคนเป็นนักกีฬาเหรียญทอง มีวินัยตื่นเช้า ซ้อมหนัก พักผ่อนตรงเวลา กินอาหารครบ 5 หมู่ แน่นอนว่าจุดแข็งเหล่านี้ทำให้เค้าประสบความสำเร็จในชีวิตนักกีฬา แต่ในขณะเดียวกัน จุดแข็งที่ช่วยให้เค้าเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ ก็อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนในการเข้าสังคมของเค้าก็ได้ 



🌟 เรื่องนี้สอนเด็กๆ ให้ชื่นชมและยอมรับทุกคนในแบบที่เค้าเป็น และสอนให้เด็กๆ รู้ว่า ทุกนิสัย ทุกสิ่งของ ทุกบุคคล ล้วนมีข้อดี และ ข้อเสีย ในตัวเองเหมือนกัน ไม่มีใครที่จะสมบูรณ์พร้อมไปทุกด้าน 




Credit : Pixabay


และจุดแข็งของคนคนนึงในสถานการณ์นึง ก็อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนของคนคนเดิมในสถานการณ์อื่นก็ได้



เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยถ้าเราเกิดมาไม่สมบูรณ์แบบ เราอาจเล่นกีฬาเก่ง แต่ร้องเพลงไม่ได้ อาจเก่งวิชาคณิตศาสตร์ บวก ลบ คูณ หารเป๊ะเว่อร์ แต่พอให้วาดรูป คุณครูให้วาดไก่ดันออกมาเป็นเป็ดซะงั้น สิ่งสำคัญอยากให้เรายอมรับตัวเอง และ คนอื่น ยอมรับสิ่งของ สมบัติ นิสัย ที่ทุกคนมีนั่นเอง



สำหรับใครที่ชื่นชอบศาสตร์พัฒนาตัวเอง อยากมีชีวิตของตัวเองได้ ทาร่ายังมีอีกหนึ่งศาสตร์มาแนะนำด้วยค่ะ 🎯 Vision Board คือการนำรูปที่เราอยากได้ อยากมี อยากเป็น มาวางไว้ในที่ที่เราสามารถเห็นได้ในทุกวัน เพื่อเป็นการเตือนสมองในส่วนของจิตใต้สำนึกถึงเป้าหมายอย่างแท้จริงในชีวิตของเรา ที่สำคัญมันทำง่ายและได้ผลพันเปอร์เซ็นต์ 💯 เลยค่ะ



 📙 หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow

 

แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl

E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0

E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj

 

ช่องทางในการติดตามทาร่า

 

Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow

IG: tarathow

Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow

Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow

Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow

Blogspot: tarathow.blogspot.com

Tiktok: @tarathow

ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow