เมื่อพูดคำว่า "อุปสรรค" หลานคนอาจจะเบ้ปากมองบน แล้วร้อง เง้อออ… ไม่อยากได้ ไม่อยากเจอ ไม่อยากมี เหมือนมันเป็นผี ที่ใครๆ ก็ต้องวิ่งหนี แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ!! กลับมาก่อน วันนี้ทาร่าจะมาอธิบายความหมายของคำว่า "อุปสรรค" ในอีกมุมมองนึกที่ทุกคนอ่านแล้วจะต้องพยักหน้าเห็นด้วย
ไปกันเลยค่ะ 💃💃💃
ถ้าเริ่มจากพจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน ความหมายของ "อุปสรรค" คือ เครื่องขัดข้อง ความขัดข้อง ความขัดขวาง
แต่ว่าจริงๆ แล้วคำว่า "อุปสรรค" ยังมีอีกความหมายนึง ที่ทาร่าไปฟัง/อ่าน/เรียนมาจากสำนักไหนก็จะไม่ได้แล้ว แต่อยากจะสรุปไว้ตามนี้ค่ะ
📌 "อุปสรรค" คือ ตัวเร่งในการเติบโต
ถามว่ามันเป็นตัวเร่งในการเติบโตยังไง? มันเป็นอย่างนี้ค่ะ เพื่อนๆ เคยสังเกตมั้ยคะว่า เมื่อไหร่ที่ชีวิตของเราสุขสมบูรณ์ สบายกาย สบายใจ เราจะมีชีวิตอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย (Comfort zone) และจะไม่มีการเติบโตเกิดขึ้น
แต่.. แต่…. แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีอุปสรรคเข้ามา มันจะเป็นตัวจุดชนวนให้เราฉุกคิดได้ว่า "ไม่ได้นะ เราต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างนึง" และสุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะเลือกเปลี่ยนแปลงแบบไหน หรือวิธีใดก็ตาม ทาร่าก็เชื่อว่าจะนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น เหมือนสำนวนฝรั่งที่บอกว่า
Credit : Unsplash
What doesn't kill you make you stronger.
ถ้า (อุปสรรค) มันไม่ทำให้คุณตาย มันก็จะทำให้คุณโต
🌈 ทาร่าขอยกตัวอย่างธุรกิจของทาร่าเองนะคะ ทาร่าเคยเปิดโรงเรียนสอนภาษาไทยให้เด็กๆ ที่อยู่ในซิดนีย์ค่ะ ออฟฟิศของเราอยู่ในเมืองเลย เรามีเด็กนักเรียนมาเรียนเพิ่มเรื่อยๆ โดยอาศัยการทำตลาดผ่าน Facebook เป็นหลัก แต่…. แต่……. เราก็สังเกตุเหมือนกันว่า นักเรียนของเราส่วนใหญ่จะเรียนได้ไม่นาน พอมาเรียนได้สัก 1-2 เทอมก็มักจะมีเหตุผลที่ต้องหยุดไป เช่น ไปเตะบอล ไปเรียนเต้น ร้องเพลง บางคนก็ต้องติวเลข ติวอังกฤษ บางคนก็หายไปเฉยๆ โดยให้สาเหตุว่าลูกไม่ชอบ คุณแม่ก็ไม่อยากบังคับ
ซึ่งในช่วงแรก เราก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ จนกระทั่งวันนึงมีผู้ปกครองท่านนึงเดินมาบอกตรงๆว่า คุณครูคะ ลูกเราเรียนแล้วไม่ได้ผลอ่ะ คุณครูวางแผนการสอนยังไงเหรอ?? ใช้หลักสูตรของที่ไหน?? และมีวิธีวัดผลยังไง?? ทั้งๆ ที่ลูกเค้าเป็นคนขยัน ตั้งใจเรียน เค้าเรียนวิชาอะไรก็ได้ผล แต่มาเรียนภาษาไทยที่โรงเรียนทาร่าแล้วไม่ได้ผล และไม่ได้มีแต่คุณแม่ที่คิดแบบนี้นะคะ ผู้ปกครองคนอื่นเค้าก็คิดเหมือนกัน!!! (บางทีก็เจอกันในลิฟท์ บางคนก็เป็นเพื่อนกัน บางคนก็เจอกันหน้าโรงเรียนระหว่างรอรับลูก)
ตัวคุณแม่เองก็กำลังลังเลอยู่ว่าเทอมหน้าจะให้น้องเรียนต่อดีรึเปล่า (เพราะเรียนไปก็ไม่ได้ผล) แถมยังกระซิบบอกด้วยว่า คุณแม่เตือนด้วยความหวังดีนะคะ ถ้าโรงเรียนของทาร่ายังไม่มีการปรับปรุงหลักสูตร ต่อไปนักเรียนก็จะยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะทุกคนเค้าก็เอาไปพูดต่อๆ กัน และจำนวนเด็กไทยในซิดนีย์ก็ไม่ได้มีเยอะแยะอะไร ต่อไปทาร่าต้องเหนื่อยแน่ๆ
โห!! เจอหมัดนี้เข้าไป ทาร่าน็อคไปเลยค่ะ ทาร่าเลยปรึกษากับหุ้นส่วนว่า “มีคอมเมนต์มาแบบนี้เราจะปรับปรุงยังไงได้บ้าง??” และเราก็สรุปกันว่า… งั้นก็ช่วยกันพัฒนาหลักสูตร!!! พวกเราเลยไปรีเสิร์ชกันว่าคนไทยที่เรียนภาษาใหม่ (อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส) เค้าเรียนกันยังไง?? ชาวต่างชาติที่ประเทศไทย เค้าเรียนจากที่ไหน ใช้หนังสือเล่มไหน หลักสูตรอะไรกัน?? รวมไปถึงหนังสือแนวภาษาศาสตร์ กับคำแนะนำจาก polyglot ที่เค้าพูดได้ 7-8 ภาษา บางคนพูดได้ถึง 15 ภาษา เค้ามีวิธีการเรียนรู้ยังไง??
Credit : Unsplash
ช่วงนั้นเราทำการบ้านกันหนักเลยค่ะ ช่วยกันรวบรวม รื้อตำราใหม่หมด เปลี่ยนหลักสูตรใหม่ทั้งโรงเรียน ทั้งฟังพูดแล้วก็อ่านเขียน ตั้งแต่ beginner จนถึง advance และก็ได้ผลค่ะ พอหลักสูตรดีขึ้น เริ่มมีนักเรียนมากขึ้น เราเองก็พูดถึงหลักสูตรของเราได้อย่างมั่นใจ เพราะเรารีเสิร์ชมาละเอียดยิบ ครบทุกแง่มุม ทุกมิติ เท่าที่เราพอจะหาข้อมูลได้ พอเอามารวมกับประสบการณ์ที่เคยสอนแล้วไม่ได้ผลอีก…. กล้าพูดเลยว่าโรงเรียนของทาร่านี่แหละ คือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง!!!
(💢 เชื่อมั้ยคะ ว่าประสบการณ์การสอนยังไงให้ไม่ได้ผลก็เป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการพัฒนาหลักสูตรของพวกเรา เนื้อหาที่เราเอาออก เก็บไว้ และเพิ่มเข้ามา มันสำคัญเท่าๆ กันนี่แหละ)
แต่ก็ไม่ใช่ว่าหลักสูตรดีแล้วโรงเรียนเราจะราบรื่นไปได้นาน……… เทอมถัดไปก็มีอุปสรรคใหม่มาอีกค่ะ รอบนี้เป็นหุ้นส่วนเลิกกับแฟน โดนยกเลิกวีซ่า ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ซิดนีย์ต่อ หรือต้องกลับไทยภายใน 3 เดือน 6 เดือน หรือ 2 ปีก็ยังไม่รู้ เราเลยต้องมาวางแผนกันใหม่อีก งั้นพยายามย้ายทุกอย่างไปออนไลน์มั้ย?? ระหว่างที่โรงเรียนในเมืองของเราก็สอนไปเรื่อยๆ แต่เราก็เปิดสอนออนไลน์ให้เด็กๆ ที่อยู่นอกเมือง ต่างเมือง ต่างประเทศไปด้วย ต่อยอดจากหลักสูตร ฐานลูกค้า แล้วก็ชื่อเสียงของโรงเรียนในเมืองเรานี่แหละ แล้วถ้าวันนึงหุ้นส่วนต้องกลับไทยจริงๆ เราก็แค่ปิดสาขาในเมืองไป แล้วเหลือไว้แต่โรงเรียนออนไลน์ที่เตรียมไว้แล้ว
คิดไว้อย่างเริ่ดหรูว่า ถึงตอนนั้นเราจะขยายธุรกิจไปทั่วโลก ทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ อเมริกา สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมถึงเด็กๆ ที่นานาชาติ ก็สามารถกลายมาเป็นลูกค้าของเราได้หมด อู้ยยยย เริ่ดสะแมนแตนมาก แต่… แต่… พอ launch ออกไปจริงๆ แล้วมันช่างยากเย็นปานเข็นครกขึ้นภูเขา ผู้ปกครองก็ไม่เคยออนไลน์ เด็กๆ ก็ไม่คุ้น คุณครูก็ยังสอนไม่คล่อง ตอนนั้นยังไม่มี zoom ด้วย ใช้ skype กัน เรียกว่าทุลักทุเลเอาการเลยค่ะ
เดชะบุญ โควิดรอบแรกมาพอดี หุ้นส่วนติดอยู่ที่นี่จนเจอรักใหม่และได้กลับมาถือวีซ่าคู่ครองอีกครั้ง (เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย!!!) ส่วนเด็กๆ ก็ติดอยู่ที่บ้าน ทุกโรงเรียนหันมาสอนออนไลน์กันหมด ทุกคนรู้จัก zoom และใช้คล่องเหมือนเป็นของคู่กันกับเด็กยุคมิลลิเนี่ยม ผู้ปกครองที่หากิจกรรมให้เด็กๆ ทำ พอมาเจอเราก็ลงทะเบียนกันมารัวๆ เลยค่ะ จาก 30 ประเทศทั่วโลก อยู่ดีๆ โรงเรียนออนไลน์ของเราก็ take off ไปพร้อมๆ กับการปิดตัวลงของโรงเรียนในเมือง (ที่ไม่มีใครไปเรียนแล้ว ทุกคนเรียนจากบ้านกันหมด)
Credit : Unsplash
แต่อย่าค่ะ อย่าคิดว่าการเดินทางจะจบแค่นี้ พอแก้ปัญหานึงได้ ปังอยู่แป้บๆ ก็เจออุปสรรคใหม่อีกแล้วค่าาา… คนทำธุรกิจออนไลน์น่าจะคุ้นเคยกับปัญหานี้ดี คือ อยู่ดีๆ Facebook Ads ก็เพี้ยน จากที่ยิงไปแล้วได้ลูกค้ารัวๆ มีอยู่ช่วงนึงคือตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไปเลยค่ะ จ่ายทิ้ง จ่ายขว้าง จ่ายจนใจหาย แล้วไม่ได้นักเรียนมาซักคน!!! ทาร่าก็ต้องมาปรับกลุ่มเป้าหมายใหม่ เรียนรู้วิธี SEO ทำเว็บไซต์ หัดเล่น IG Youtube ต่างๆ นานา และที่สำคัญ…. ไม่ได้ผลซักอย่าง!!! (ในตอนนั้นนะ)
สุดท้ายก็เลยกลับมาตั้งหลักที่ฐานลูกค้าเดิม จัดกิจกรรมให้เด็กๆ ผู้ปกครองมาไลก์ เม้นต์ แชร์ เพื่อให้เฟสบุ๊คเรียนรู้กลุ่มเป้าหมายใหม่ แล้วค่อยกลับไปยิงแอดอีกครั้ง
แล้วเฟสบุ๊คก็ปิดบัญชีแอด
แล้วก็ทะเลาะกับหุ้นส่วน
แล้วก็ทำงานเยอะจนหุ้นส่วนป่วย
แล้วทาร่าก็ป่วยด้วย
พอแก้ปัญหานึงได้ไม่นาน เดี๋ยวก็มีปัญหาใหม่มาอีก เหมือนเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนตาย ตลอดไป๊.. หากมีเรา จะมีนาย ร่วมทางไม่มีไหวหวั่นนน 😅
ทุกวันนี้โรงเรียนของทาร่ามีคุณครู 17 คน ทีมแอดมิน 6 คน นักเรียน 300 คน และคุณครูในเครือข่ายอีก 70 คนจากทุกทวีปทั่วโลก…. ถามว่าปัญหาหมดไปจากพวกเรามั้ย??
ตอบตรงนี้เลยว่าไม่ค่ะ 🥲 ตอนโรงเรียนเล็กๆ ปัญหาก็เล็กด้วย (คือใหญ่สำหรับเราในตอนนั้น แต่พอมองย้อนกลับไป เรื่องแค่นี้เองเหรอ) แต่พอโรงเรียนใหญ่ขึ้น ปัญหาก็ใหญ่ขึ้นด้วยจ้าาา
จนทำให้ทาร่าเข้าใจเลยว่า… ทุกปัญหา ทุกอุปสรรค มันคือ ตัวเร่งใน การเติบโต
ทาร่าหวังว่าเรื่องของทาร่าจะเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ ที่กำลังเจอปัญหาเจออุปสรรคอยู่ตอนนี้ด้วยนะคะ
🌈 จำไว้นะคะว่า ปัญหา คือ ตัวเร่งในการเติบโต เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณสามารถแก้ปัญหาได้ ธุรกิจ/ชีวิตของคุณจะเติบโตขึ้นอีกก้าวนึง
🌈 และคุณจะกลายเป็นคุณในเวอร์ชั่นอัปเดท นั่นก็คือ คุณคนเดิมแต่แกร่งและเก่งกว่าเดิม 😎
🎯 ทาร่าให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเอง พยายามหาแนวคิด ไอเดียใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ทาร่าเป็นคนที่ดีกว่าเดิมในทุกวัน และเทคนิคนึงที่ทาร่ารักมากๆ คือการทำ Vision Board ค่ะ นี่เป็นเครื่องมือที่ใช้ง่ายและได้ผล 💯 ทาร่าขอฝากผลงานของทาร่าไว้ด้วยนะคะ 😘
หนังสือ "Power of Vision Board เปลี่ยนชีวิตให้เป๊ะปังด้วยพลังจากรูปภาพ" โดย Tara Thow
แบบเล่มที่ Se-ed https://bit.ly/3mJ7fNl
E-book ที่ Meb: https://bit.ly/3Bljwh0
E-book ที่ Ookbee: https://bit.ly/3Bn43Nj
ช่องทางในการติดตามทาร่า
Facebook: https://www.facebook.com/pagetarathow
IG: tarathow
Youtube: https://www.youtube.com/c/TaraThow
Blockdit 1: มนุษย์แม่ลูกสองจากเมืองซิดนีย์ By Tara Thow
Blockdit 2: เทคนิคเพี้ยนๆที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง by Tara Thow
Blogspot: tarathow.blogspot.com
Tiktok: @tarathow
ติดต่องาน: ไลน์ไอดี tara.thow